บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1587 เหลิ่งเย่ออกเดินทาง
ความสุขในปีใหม่ สิ้นสุดอย่างกะทันหันในวันที่ห้าของปีใหม่
วันที่หกของปีใหม่ กลับมาว่าราชการเช้า ทุกๆที่ทำการปกครองก็เริ่มทำงาน
แต่เจ้าห้าไม่ได้เศร้าเพราะเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะเจ๋อหลานบอกว่าจะกลับเมืองโร่ตูสักครั้ง
การฟื้นฟูใหม่หลังภัยพิบัติของเมืองโร่ตู ตอนนี้กลายเป็นยังไง นางบอกว่าอยากไปเห็นด้วยตนเองถึงจะวางใจ
อีกอย่าง พวกพี่ชายก็จะออกเดินทางกลับไปแล้ว
หยวนชิงหลิงได้คุยเรื่องหลักการความคิดกับเขาทั้งคืน เขาค่อยยอมปล่อยมือ
แต่มีพระราชโองการฉบับหนึ่งไปยังจวนเจียงเป่ย ให้พวกอ๋องเว่ยอ๋องอานคอยดูแลให้ดี มีเรื่องอะไรต้องรีบรายงานเขา
อ๋องเว่ยกับอ๋องอานรู้สึกมึนงง บอกเขาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? เขาเป็นคนพูดเองว่าให้กวาเอ๋อไปได้ ยังจะมาโทษพวกเขาภายหลัง เป็นฝ่าบาทจนนิสัยก็เปลี่ยนแปลงตามแล้ว
หยู่เหวินเห้าให้สวีอีไปส่งพวกเขา ถึงแม้พวกเด็กๆต่างแสดงออกว่า พาลุงสวีอีไปด้วยค่อนข้างขวางมือขวางเท้าระหว่าง หากเกิดอะไรขึ้นยังต้องปกป้องเขา ที่สำคัญที่สุดคือ จะทำให้การเดินทางล่าช้าลงมาก พวกเขาสามารถมองเห็นภาพที่ลุงสวีอีขี่รถม้าส่งพวกเขาไปยังเมืองศักดินาในระยะทางที่ยาวไกล
ช้ามากจริงๆ
แต่เจ้าห้าก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ยังไงก็จะให้สวีอีไปกับพวกเขา
สวีอีก็ยินดี เพราะออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่มีเบี้ยเลี้ยง เรื่องนี้เรียนรู้มาจากยุคปัจจุบัน หากยื่นเรื่องกับฝ่าบาทไม่ผ่าน ก็ยื่นผ่านฮองเฮาได้ ฮองเฮาเป็นคนเข้าใจและมีเหตุมีผล
พวกเด็กๆต่างกลับไปยังเมืองศักดินาของตนแล้ว
ฉลองปีใหม่เสร็จ เจ๋อหลานบอกว่านางอายุสิบขวบแล้ว ไม่ว่าความจริงจะอายุเท่าไหร่ ในเมื่อมายังโรคมนุษย์ ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว
“น้องสาว พ่อไม่อยากให้เจ้ากลับไป ทำไมเจ้าไม่อยู่ในวังเป็นเพื่อนพ่อสักพักก่อน?”
ทังหยวนถามเจ๋อหลาน ในระหว่างทางที่อยู่บนรถม้า
“พอประมาณก็พอแล้ว อยู่ต่ออีกนานหน่อย เขาก็จะไม่เห็นข้าสำคัญแล้ว” เจ๋อหลานแลบลิ้นพร้อมพูดขึ้น
“เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์” ทังหยวนเข้าใจขึ้นมาทันที ความห่างไกลทำให้เกิดความงาม ความเสน่หาก็เช่นกัน
ถม้าค่อยๆเคลื่อนตัวไปยังเมืองชายแดน
ใน ห้องทรงพระอักษร ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมง เจ้าห้าตามเหลิ่งจิ้งเหยียนเข้าวังมาเล่นหมากรุก
แพ้ไปอยู่หลายกระดาน เจ้าห้าก็ไม่โกรธ ยิ่งไม่ได้ทุบกระดานหมาก
ตอนที่กำลังจะเล่นอีกกระดาน เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดห้ามขึ้นว่า “ฝ่าบาท มีธุระอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องเล่นแล้ว เจ้าปล่อยอย่างไม่ฉลาด ซึ่งความจริงต่อให้เจ้าไม่ปล่อย เจ้าก็แพ้”
“ชีวิตเป็นเรื่องยากที่โกหกบางส่วนจะดีกว่าไม่ได้สัมผัส” เจ้าห้ามองเขาอย่างว่างเปล่า
“ดังนั้น มีเรื่องอะไรล่ะ?” เหลิ่งจิ้งเหยียนยกแก้วชาขึ้นมา ค่อยๆดื่ม พร้อมรอฟังเขาพูด
ความอดทนของฝ่าบาทดีกว่าเมื่อก่อนมาก คำพูดอัดอั้นมากมาย ยังสามารถทนเล่นหมากรุกได้ตั้งหลายกระดาน
ที่เป็นอย่างที่ผ่านมา ตอนที่เดินครั้งที่สาม ก็พูดออกมาจนหมดแล้ว
“เจ้าเป็นโสวฝู่มาตั้งนานแล้ว อยู่แต่ในวังมาตลอด คิดอยากที่จะออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างไหม?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
“คิดจะส่งข้าไปไหน?” ความคิดของฝ่าบาท เหลิ่งจิ้งเหยียนมองก็รู้มาตลอด
สมกับที่เป็นเพื่อนดื่มเหล้าด้วยกันมานาม
หยู่เหวินเห้าไม่มีความละลายที่คนอื่นรู้ทัน กลับพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “หลังแผ่นดินไหวที่เมืองโร่ตู ประชาชนกลับคืนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ช่วงนี้ต้องคอยระวังอาจมีคนมาก่อกวน แล้วทุกอย่างจะเปล่าประโยชน์ แต่งตั้งให้เจ้าเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ ออกตรวจราชการแทน พูดคุยกับคนในท้องถิ่น ทำความสนิทสนม เพิ่มจิตใต้สำนึกในการเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก”
“ความคิดนี้สามารถมีได้ ต้องอาศัยตอนน้ำขึ้นให้รีบตัก ผลักดันคลื่นของความโปรดปรานของราชสำนัก” เหลิ่งจิ้งเหยียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง หลังจากพูดเสร็จ ก็เงียบไปสักพัก มองดูเขาพร้อมพูดว่า “ยังสามารถช่วยเจ้าเฝ้าดูแลเจ้าหญิงด้วยใช่ไหม?”
“ช่างเป็นโสวฝู่เหลิ่งที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ ในใจของข้าคิดอะไรเจ้าก็รู้ทุกสิ่งอย่าง” หยู่เหวินเห้าหัวเราะพร้อมพูดขึ้น
“ความรักที่เจ้ามีให้กับลูกสาว ใครไม่รู้บ้าง? แต่ก่อนที่ข้าจะเข้าวัง ยังคิดว่าเจ้าจะไปด้วยตนเอง แล้วให้ข้าเฝ้าวังไว้”
“ข้าก็เคยคิด ไปเมืองโร่ตูในเวลานี้ ที่จริงก็มีประโยชน์ ให้คนในท้องถิ่นไว้วางใจราชสำนักมากขึ้น รู้ว่าราชสำนักจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา ยังสามารถไปเดินเล่นยังเมืองอื่น แต่ปัญหาก็มีตรงนี้แหละ หากข้าไป จะทำให้คนที่คิดร้ายรวมตัวกันขึ้นมา จนเป็นการส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ เจ้าไปในฐานะโสวฝู่เหมาะสมที่สุด”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหญิงด้วยตนเอง ดังนั้นจึงกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดกล่อมเจ้ายังไง”
หยู่เหวินเห้าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พร้อมพูดขึ้นว่า “ในใจของเจ้า ข้าเป็นคนที่เพื่อลูกแล้วจะไม่สนใจอะไรเลยหรือ?”
“ไม่ใช่เพื่อลูก แต่เป็นเพื่อลูกสาว” เหลิ่งจิ้งเหยียนยิ้มหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “แต่เห็นได้ชัดว่ากระหม่อมประเมินฝ่าบาทผิดไป”
“ข้ายังสามารถแยกแยะได้ แผ่นดินสำคัญกว่าทุกสิ่ง ข้าจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายง่ายๆแน่” โดยเฉพาะ เขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบ้านคนนั้น
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นว่า “ดี งั้นข้ากลับไปให้หงเย่เตรียมตัว พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางเลย”
“หงเย่ก็ไป?” หยู่เหวินเห้าอึ้ง
“กว่าข้าจะได้ออกเดินทางซักครั้ง ไม่ต้องพาหมิงหยู่ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างหรือ?” เหลิ่งจิ้งเหยียนถามกลับ
หยู่เหวินเห้าถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “พาหมิงหยู่ไปด้วยได้ เป็นผู้ชาย ควรที่จะออกไปดูโลกภายนอก เปิดหูเปิดตา จะได้ไม่ซื่อเกินไป”
“หมิงหยู่กลัวข้ามาก ยอมไปกับหงเย่เท่านั้น จะไม่พาหงเย่ไปด้วยได้หรือ?” เหลิ่งจิ้งเหยียนถามกลับอีกครั้ง
หยู่เหวินเห้าโบกมือ พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ เจ้าอยากพาใครไปด้วยก็ผ่านไป ยังไงเจ้าไปก็พอ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนถวายบังคมทูลลา
หยู่เหวินเห้ามองดูเงาหลังของเขา สวมชุดสีขาวปลิวไสว เหมือนอย่างกับเทพเทวดา ทำไมไม่แต่งงาน อยู่กับหงเย่ตลอดทำไมกัน?
คนหนึ่งแดงคนหนึ่งขาว ช่างไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ
กลับไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเรื่องงานแต่งงานของเหลิ่งจิ้งเหยียนให้หยวนชิงหลิงฟัง หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าซุบซิบนินทาขนาดนี้ทำไม?”
“ไม่ได้ซุบซิบนินทา ข้าเป็นห่วงเขา อายุมากขนาดนี้แล้ว หากยังไม่แต่งงานมีลูก ก็จะมีลูกไม่ได้แล้ว” หยู่เหวินเห้าดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก ดื่มน้ำเย็นในฤดูหนาวช่วยผ่อนคลายยิ่งนัก
“ก็มีลูกแล้วไม่ใช่หรือ? เหลิ่งหมิงหยู่”
“นั่นเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง ไม่ได้คลอดด้วยตนเอง” หยู่เหวินเห้าคิดไปคิดมา แล้วก็พูดขึ้นว่า “หรือว่าหาหมอตรวจร่างกายให้เขาดีไหม? ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า? อย่างเช่นโรคที่มีลูกไม่ได้อะไรแบบนั้น”
หยวนชิงหลิงตบเขาเบาๆหนึ่งที พร้อมพูดขึ้นว่า “พูดไปเรื่อย เป็นกังวลไปเรื่อยเปื่อย ข้าเห็นว่าเขาเป็นปกติอย่างมาก”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร? ข้าสงสัยว่าแม่ของเขาต้องรู้ว่าเขามีโรคแบบนี้ ดังนั้นจึงรับเลี้ยงเด็กให้กับเขา น่าสงสารจริงๆ”
“สมองของเจ้าไม่คิดเพี้ยนไปหน่อย?” หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างโมโห ปกติก็เห็นว่าฉลาดดี ทำไมกับเรื่องนี้ถึงยังไม่กระจ่าง
“คิดเพี้ยน? เจ้าหมายความว่าเหลิ่งหมิงหยู่เป็นลูกแท้ๆของเขา…ไม่ใช่นี่ เหลิ่งหมิงหยู่มีพ่อแม่ที่แท้จริง”
หยวนชิงหลิงยิ้มพร้อมส่ายหัว ไม่พูดแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ยังไงก็เป็นเพียงสิ่งที่นางคาดเดา
“ที่จริงพวกเราทางนั้น ก็มีคนมากมายไม่อยากแต่งงาน คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่เลว ในใจไม่มีอะไรผูกมัด มีชีวิตอย่างอิสรเสรี”
“คนพวกนี้คิดอะไรอยู่? มีคนที่รักอยู่ข้างกายไม่ดีหรือ? ชีวิตคนเรายืนยาวขนาดนี้ มีตัวคนเดียวเหงาจะตาย” หยู่เหวินเห้าทนรับไม่ได้วันที่จะไม่มีเจ้าหยวนอยู่ข้างกาย ความอิสระที่เป็นโสด เทียบกับการมีใครอีกคนรู้ร้อนรู้หนาวอยู่ข้างกาย คอยเฝ้าดูแลกันได้อย่างไร?
ไม่ว่าหยู่เหวินเห้าจะคาดเดายังไง หลังจากเหลิ่งจิ้งเหยียนกลับมาถึงจวนแล้วพูดถึงเรื่องที่จะออกเดินทาง ลิงกับหงเย่ต่างก็ยิ้ม มองดูเหลิ่งหมิงหยู่ เหลิ่งหมิงหยู่ก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน
ดีมากเลย จะได้ออกไปเที่ยวหาพี่สาวแล้ว