บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1588 ทังหยวนกับแม่นางเจ็ดเจรจาต่อรองกัน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1588 ทังหยวนกับแม่นางเจ็ดเจรจาต่อรองกัน
หงเย่แอบถามเหลิ่งจิ้งเหยียนว่า “ไปทำงาน?”
“ ปกติข้าไม่เคยแยกแยะระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว ดังนั้นถึงจะเป็นการออกไปปฏิบัติงานก็เท่ากับเป็นการออกไปเที่ยว” เหลิ่งจิ้งเหยียนยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน มองดูเหลิ่งหมิงหยู่พร้อมพูดขึ้นว่า “ อีกอย่าง ลูกโตแล้วควรที่จะพาเขาออกไปเปิดหูเปิดตา”
เหลิ่งหมิงหยู่เงยหัวขึ้นมา สายตาเหลิ่งจิ้งเหยียนก็เปลี่ยนกลับไปเย็นชาเหมือนเดิม อยู่ภายในจวนนี้ เหลิ่งจิ้งเหยียนเข้มงวด หงเย่คอยเอาใจ เป็นวิธีการสองง่าม
“งั้นได้ พวกเราไปเก็บของก่อน จะไปนานแค่ไหน?” หงเย่ถามขึ้นอย่างดีใจ
“อยากกลับมาเมื่อไหร่ค่อยกลับมา ไม่กำหนดว่าไปนานแค่ไหน ยังไงเจ้าห้าก็มักจะโยนภาระให้ข้าเสมอ เราก็ควรที่จะเสพสุขบ้าง” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นอย่างเอาคืน
หงเย่หัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ควรทำเช่นนี้จริง”
จะได้ไปหาลูกสาวบุญธรรมของเขาแล้ว มีความสุขที่สุด
หงเย่อคติกับเจ้าห้ามากที่สุดก็คือ เขามักจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้กวาเอ๋อ ยังไงก็เป็นลูกสาวบุญธรรมของเขา กลับถูกเจ้าห้ายึดครอบครองคนเดียว เดินไปจริงๆ
คนเราได้เป็นฝ่าบาทแล้ว นิสัยใจคอล้วนไม่ดี
คนสามคนกับลิงหนึ่งตัว ออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบๆ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ แต่ก็ไม่มีขบวนพิธีการอะไร
ในขณะที่หลังจากพวกเขาออกเดินทาง ทังหยางก็เริ่มต้นทำงานเพื่อเมืองโร่ตู
หลายปีมานี้ทังหยางเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย ดูแก่ลงไปมาก จอนด้านข้างเริ่มหงอกขาว
เมื่อก่อนเขาเป็นข้ารับใช้ในจวนหยู่เหวินเห้า ตอนนี้เป็นคนที่มีความสามารถวิ่งทำงานทุกอย่างให้กับหยู่เหวินเห้า ตำแหน่งขุนนางก็ไม่เอา ดำรงตำแหน่งเป็นข้ารับใช้ส่วนพระองค์ รับมอบหมายงานจากหยู่เหวินเห้าโดยตรง ไม่ว่าที่ทำการปกครองที่ไหนก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้
หลายปีมานี้ เขาช่วยกรมทหารจัดระเบียบกิจการทหาร ช่วยกรมคลังจัดการนโยบายใหม่ในการจัดการเกี่ยวกับที่ดินและภาษีของประเทศ
ฮองเฮาเคยพูดว่า ใต้เท้าทังเป็นอิฐก้อนหนึ่ง ที่ไหนต้องการก็ต้องย้ายไปที่นั่น เข้าร่วมการประเมินกรมข้าราชการพลเรือน ฟังกรมอาญาสอบสวนคดีร้ายแรง
ฮองเฮาเป็นห่วงใต้เท้าทัง เจ้าห้ากลับมักพูดว่าคนมีความสามารถก็ต้องทำงานเยอะหน่อย บวกกับใต้เท้าทังไม่มีภรรยาไม่มีลูก อยู่ว่างๆก็เปล่าประโยชน์ไปเท่านั้น
แต่ก็เพียงพูดแค่นี้ เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ มีอะไรที่น่ากินน่าใช้ ฝ่าบาทก็จะคิดถึงใต้เท้าทังเป็นคนแรก
ตอนที่เจ้าห้าไปยุคปัจจุบันเรียนภาษาอังกฤษมาได้หลายประโยค จากนั้นเวลาคุยกันเป็นการส่วนตัวก็จะเรียกใต้เท้าทังว่าtom
ถึงแม้หยวนชิงหลิงจะบอกเขาว่า tomคำนี้ไม่ใช่ทังหยาง คือทังหมู่ เขาก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ยังไงใต้เท้าทังก็ไม่รู้เรื่อง
นี่เป็นคำเรียกตอนที่พวกเขาอยู่กันเป็นการส่วนตัว ในเวลาส่วนตัวไม่มีแบ่งแยกระหว่างความเป็นฝ่าบาทกับขุนนาง
วันนี้ใต้เท้าทังไปหาแม่นางเจ็ดที่ร้านตระกูลหยวนเพื่อตกลงเจรจาทำการค้าขายกัน
หลายปีมานี้เขากลับแม่นางเจ็ดก็ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง พิสูจน์เป็นไปตามอย่างที่พูดประโยคหนึ่งว่า เป็นสามีภรรยากันไม่ได้ ก็สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกันได้
ทังหยางเคยล้อเล่นขอนางแต่งงาน แต่แม่นางเจ็ดปฏิเสธ นางพูดว่า ใต้เท้าทังเป็นคนประเภทที่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เขาสามารถเสี่ยงอันตรายและยอมเสียสละเพื่อเพื่อน
ในเมื่อนางมีเพื่อนที่เสี่ยงอันตรายและยอมเสียสละเพื่อเพื่อนได้แล้ว ทำไมจะต้องคิดสั้นเอาเพื่อนคนนี้มาเป็นสามี? งั้นจะไม่เป็นการช่วยงานเขาไปตลอดชีวิตหรือ?
เพราะหลังจากที่ผู้หญิงแต่งงานแล้ว ก็จะไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว แต่เป็นฮูหยินของใครสักคน ภรรยาของใครสักคน
นางจะเป็นแม่นางเจ็ด แม่นางเจ็ดของตระกูลหยวน
เมื่อก่อนเหล่าไท่จวินยังเร่งให้แต่งงาน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เพื่อเรื่องนี้ ทำให้ทั้งสองแม่ลูกไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขมาหลายสิบปี ดังนั้น หลังจากทั้งสองแม่ลูกได้คุยกันอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่งแล้ว เหล่าไท่จวินก็ปล่อยวางแล้ว
แม่นางเจ็ดพูดว่า ที่จริงนางไม่เสียใจในชาติภพนี้ ในช่วงอายุที่เหมาะแก่การมีความรัก ก็เคยรักคนคนหนึ่งอย่างสุดใจ ไม่ได้ครอบครองจนเคยมีความเกลียด ตอนนี้นางมีเงินทองมีธุรกิจมีคนในครอบครัวมีเพื่อน ไม่จำเป็นต้องหาสามีทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้น
เพราะอาจจะไม่ใช่เป็นการทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้น
อาจจะเป็นการยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเองมากกว่า
แม้แต่ฮองเฮายังชื่นชมนาง บอกว่านางเป็นผู้หญิงอิสระแห่งยุคใหม่
แม่นางเจ็ดยิ้มรับกับคำเรียกนี้
ทังหยางมาถึงร้าน แม่นางเจ็ดสั่งจนเตรียมโต๊ะน้ำชา เลิกคิ้วพร้อมถามขึ้นว่า “หน้ามุ่ยคิ้วขมวด มาหาข้าเพื่อคลายเครียดหรือ? ข้าไม่ให้บริการฟรีตลอดนะ ระวังด้วย”
ทังหยางหย่อนก้นนั่งลง สะบัดชายชุดคลุม มองดูนางพร้อมพูดขึ้นว่า “เก็บค่าบริการก็เก็บเลย”
“หนึ่งร้อยตำลึง” แม่นางเจ็ดยิ้มหัวเราะพร้อมยื่นมือออกมา
“เซ็นเชื่อไว้ก่อน มีเงินค่อยจ่าย” ทังหยางเพิ่มถ่านก้อนหนึ่งลงในเตาถ่าน พร้อมพูดขึ้นว่า “กระหายอย่างมาก ต้มเร็วๆหน่อย”
“ไปวิ่งเต้นที่ไหนมา?” แม่นางเจ็ดถามขึ้น
“ไปกรมโยธาธิการมา การก่อสร้างสถานสงเคราะห์ เกิดปัญหานิดหน่อย ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว”
“เจ้าออกหน้า ไม่มีอะไรที่จะทำไม่สำเร็จ” สำหรับความสามารถในการทำงานของทังหยาง แม่นางเจ็ดมีความมั่นใจ
นางเทใบชาลงไป ต้มสักพัก จากนั้นก็รินให้กับใต้เท้าทัง พร้อมพูดขึ้นว่า “ดูริมฝีปากของเจ้าแห้งจนลอกแล้ว รีบดื่มเถอะ”
“งั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” ทังหยางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา เป่าอยู่หลายที แล้วก็ดื่มลงไปหนึ่งคำ ไม่สนใจว่าชาจะร้อนหรือไม่ หิวกระหายมากแล้วจริงๆ
รอเขาดื่มไปสองอึกแล้ว แม่นางเจ็ดค่อยถามขึ้นว่า “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
ทังหยางวางถ้วยชาลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ร้านของพวกเจ้าเคยคิดที่จะเข้าร่วมการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติที่เมืองโร่ตูไหม? วางใจได้ พวกเจ้าจะไม่ขาดทุน”
“ข้าเป็นเพียงร้านค้าธรรมดา จะเข้าร่วมการฟื้นฟูเมืองโร่ตูได้ยังไง?”
“ฝ่าบาทบอกว่าได้ งั้นก็ต้องได้” ทังหยางพูดขึ้น
แม่นางเจ็ดหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าทัง เรื่องดีขนาดนี้ทำไมถึงตกอยู่ที่ร้านของพวกเราได้? หรือเป็นเพราะเจ้าช่วยข้าพูด? แต่ขอบคุณในความหวังดีของเจ้านะ บุญคุณนี้ใหญ่หลวง ข้ารับไว้ไม่ไหว”
ร้านค้าธรรมดาเข้าร่วมการฟื้นฟูเมืองโร่ตู ต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก และหลังจากฟื้นฟูแล้ว ผลประโยชน์ของร้านนาง ก็คงเป็นเมืองศักดินา
เมืองโร่ตูเป็นของเจ้าหญิงเจ๋อหลาน มีแร่เหล็กจำนวนมาก และสถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลาย การขุดเหมืองแร่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่เหมืองแร่เป็นของราชสำนักมาตลอด ไม่มีทางยกให้เป็นของกิจการร้านเอกชนแน่ ดังนั้นต่อให้ยกให้นางก็เป็นเพียงภูเขาไร้ประโยชน์เท่านั้น
แม่นางเจ็ดพูดว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นการไว้หน้าทังหยางเท่านั้น ความจริงแล้ว นางคิดว่าไม่คุ้ม
“ลองฟังข้าพูดก่อนไหม?” ทังหยางมองดูนางอย่างลึกซึ้ง
ตอนที่ทังหยางตั้งใจจ้องมองใคร แลดูมีเสน่ห์ของชายชราอย่างมาก
แม่นางเจ็ดหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ เจ้าพูดมา แต่หากคิดที่จะใช้เสน่ห์ของผู้ชาย ก็หาคนที่อายุน้อยมา”
ทังหยางหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ถึงขนาดนั้น ความร่วมมือเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ความร่วมมือจะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น”
“งั้นข้าจะฟังดู”
ทังหยางพูดขึ้นว่า “เงินห้าล้านตำลึงเข้าร่วมในการฟื้นฟูใหม่ เขาตู๋ซานเมืองโร่ตูยกให้เจ้า”
“เขาตู๋ซาน?” แม่นางเจ็ดหวั่นไหว หากเป็นเขาตู๋ซาน งั้นก็คู่ควรที่จะพิจารณาดูดีๆ
มีคนพูดว่า เขาตู๋ซานเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด มีสัตว์แปลกประหลาดอยู่ในนั้นไม่น้อย แต่ถึงตอนนี้คนที่เข้าไปในเขาตู๋ซาน แล้วกลับออกมาได้น้อยคนมาก
หากยกเขาตู๋ซานให้กับคนอื่น คาดว่าในหนึ่งพันคนคงไม่มีใครยอมตกลงสักคน เพราะที่นั่นไร้ประโยชน์อย่างมาก แม้แต่เพาะปลูกเก็บเกี่ยวก็ทำไม่ได้
แต่นางเคยไปเขาตู๋ซาน และก็เป็นหนึ่งในส่วนน้อยที่กลับออกมาจากเขาตู๋ซานได้
นั่นเป็นสถานที่ในฝันของนาง อยากจะไปอีกสักครั้งมาตลอด แก่ตายอยู่ที่เขาตู๋ซานนางก็ยอม
ทังหยางรู้ว่านางหลงรักเขาตู๋ซานอย่างมาก
เจ้าเฒ่าคนนี้ เจ้าเล่ห์จริงๆ เขาตู๋ซานที่ไม่มีใครอยากได้ จะแลกกับเงินห้าล้านตำลึงของนาง
“บวกกับผู้นำเที่ยวอีกคน พาเจ้าไปเที่ยวทั่วทั้งเขาตู๋ซาน เป็นยังไง?” ทังหยางจ้องมองดูนางอย่างลึกซึ้ง พร้อมถามขึ้น
แม่นางเจ็ดมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ห้าล้านตำลึง แพงเกินไป”
“คุ้มค่า”
“ลดน้อยหน่อย”
“ลดไม่ได้สักบาท นี่เป็นราคาขั้นต่ำที่อ๋องชินเฟิงอันให้มา เขาคิดว่า เขาตู๋ซานมีค่ากว่าสิบล้าน เจ้าน่าจะไม่โต้เถียงกับสิ่งนี้”
แม่นางเจ็ดถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็มีแค่ข้าที่ยอมรับได้ สิบล้าน เจ้าหาคนทั้งใต้หล้าก็ไม่มีคนเอา สี่ล้านตำลึง ได้ข้าก็ตกลง ไม่ได้ข้าก็ไม่เอา”
“ลดไม่ได้สักบาท” ทังหยางยังคงยืนยัน
“เจ้า…..” แม่นางเจ็ดหัวเราะเยาะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าทัง เห็นทีความเป็นเพื่อนของเราไร้ประโยชน์เสียแล้ว”