บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1589 เจ้าห้าร้อนใจ
ทังหยางยื่นมือไปวางไว้บนหลังมือของแม่นางเจ็ด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าพึ่งใจร้อน ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ? ว่ามีผู้นำเที่ยว มีแผนที่ เจ้าอยากเข้าไปถึงส่วนไหนของเขาตู๋ซานก็ได้ จะมีคนคอยกำจัดอันตรายทั้งหมดให้กับเจ้า เจ้ารู้ หลังจากที่เขาตู๋ซานไม่มีความอันตราย เจ้าสามารถเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วก็เก็บค่าเข้าบริการเข้าภูเขา เป็นยังไง?”
“บุกเบิกเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว? ถือเป็นสิ่งใหม่ แต่นั่นก็หมายความว่า ข้าไม่ได้ครอบครองเขาตู๋ซานเพียงคนเดียว?” แม่นางเจ็ดหัวเราะเย้ย
“ภายในสิบห้าปี เจ้าครอบครองเพียงคนเดียว หลังจากสิบห้าปี แบ่งสามส่วน”
แม่นางเจ็ดเงียบไปสักพัก บุกเบิกเป็นเรื่องที่ดี สถานที่ดีวิวทิวทัศน์ที่งดงามก็ควรที่จะให้คนบนโลกได้เห็น สวนที่เขาบอกว่าเก็บค่าบริการขึ้นเขา บวกกับมีราชสำนักคอยช่วยเหลือ คาดว่าคงจะมีนักท่องเที่ยวไปที่นั่นไม่น้อย ยังไงราชสำนักก็ต้องการที่จะพัฒนาราชอาณาจักรเมืองทั้งห้า ยังไงก็ต้องคิดหาวิธีให้คนไปที่นี่เป็นจำนวนมาก
บวกกับตอนนี้ฝ่าบาทกำกับดูแลธรรมาภิบาลที่ดี การพัฒนาเศรษฐกิจ เป่ยถังค่อยๆร่ำรวยขึ้นมาแล้ว จ่ายเงินบ้างเพื่อออกไปท่องเที่ยว เป็นสิ่งที่เป็นไปได้อยู่แล้ว และยังเป็นผลประโยชน์ระยะยาว
นางก็ควรที่จะวางแผนชีวิตของตนเองหลังจากเกษียณ เขาตู๋ซานเป็นสถานที่ดีมาก เป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝัน ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบในเขาตู๋ซาน คิดแล้วก็น่าตื่นเต้นอย่างมาก
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยังถือเป็นการหาทางถอยให้กับตระกูลหยวน
“ตกลง”
ด่วนตัดสินใจทำการค้าขายมูลค่าห้าล้านตำลึง สำหรับคนรอบคอบอย่างแม่นางเจ็ด ถือเป็นครั้งแรก
แต่ก็คนมีเงิน จ่ายเพื่อความฝันของตนเองสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้ม
“แม่นางเจ็ดเป็นคนปากเร็วใจถึง สมแล้วที่เป็นหญิงแกร่ง” ทังหยางยิ้มหัวเราะเพราะพูดขึ้น
แม่นางเจ็ดกลอกตามองบน พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องประจบแล้ว ว่ามา ผู้นำทางของข้าอยู่ไหน? นางจะไปด้วยตนเองสักครั้ง ไปดูให้มั่นใจว่าสามารถเดินทั่วทั้งเขาตู๋ซานได้ไหม แล้วค่อยกลับมาเซ็นสัญญา”
ใต้เท้าทังยกมือขึ้นประสาน พร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ กระหม่อมไร้ความสามารถ จะเป็นผู้นำทางให้กับแม่นาง
“เจ้า?” แม่นางเจ็ดอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเคยไปเขาตู๋ซาน?”
“หลายปีก่อนอ๋องชินเฟิงอันสองสามีภรรยานำทาง เคยไปหลายครั้ง ทั่วทั้งเขาตู๋ซาน ข้าเดินทั่วหมดแล้ว” ใต้เท้าทังพูดขึ้น
ตอนที่รู้จักเจ้า เจ้าก็หลงรักเขาตู๋ซานอย่างมาก หากข้ามีโอกาส จะไม่ไปดูสถานที่ที่จะเจ้าอยากไปได้ยังไง?
คำพูดนี้ ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่กล้าพูดออกมา
สามารถรักษาความสัมพันธ์เป็นมิตรที่ดีเช่นนี้ไว้ได้ ถือเป็นบุญของเขาที่สร้างมาตั้งแต่ชาติภพก่อน
แม่นางเจ็ดค่อนข้างหวั่นไหว จึงพูดขึ้นว่า “ดี เลือกวันออกเดินทางมาได้เลย”
“ขอลา” ทังหยางกล่าวลา แล้วก็หันตัวไป
เขาออกมาจากร้านแล้วก็ตรงเข้าวัง รายงานเรื่องนี้ให้กับเจ้าห้า
หลังจากเจ้าหากฟังจบแล้ว ก็พูดขึ้นอย่างชื่นชมว่า “ลำบากเจ้าแล้ว สามารถคุยตกลงได้เร็วขนาดนี้ แต่แม่นางเจ็ดก็เป็นคนที่มองการณ์ไกล รูปแบบการเก็บค่าเข้าชม สามารถยอมรับได้เร็วขนาดนี้ คนปกติจะไม่ล่วงรู้ถึงการมองการณ์ไกลแบบนี้”
“นางทำธุรกิจเก่งมาก รู้จักมองการณ์ไกลอย่างไม่ต้องสงสัย ตระกูลหยวนร่ำรวยมาจนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะนาง เพื่อเป็นแผนในระยะยาว หาทางถอยให้กับตระกูลหยวน เป็นเรื่องที่นางจะต้องทำเป็นอันดับแรกในตอนนี้ เพราะควรเข้าใจเหตุผลที่ต้นไม้ใหญ่ดึงดูดลมพัดกระหน่ำ”
“เจ้าพูดถูก หลายปีมานี้ คนที่มีความสามารถของตระกูลหยวนล้วนเป็นผู้หญิง ความยิ่งใหญ่ของตระกูลหนึ่ง ต้องพึ่งพาคนที่มีความสามารถ แต่ตอนนี้ตระกูลหยวนเริ่มมีข้อบกพร่องแล้ว ตระกูลใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีใครสามารถเป็นที่พึ่งได้ พวกเขายังต้องหาทางออกด้วยตนเอง แน่นอนว่าในระหว่างที่ข้าอยู่ จะไม่ยอมให้ใครแตะต้องพวกเขา”
“พวกเขารู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณ แต่ก็รู้ว่าฝ่าบาทไม่สามารถปกป้องตระกูลหยวนได้ตลอด นางสามารถคิดได้เช่นเรื่องที่ดี”
“อืม ต้องไปกับนางสักครั้งเถอะ แล้วก็รีบกลับมาเซ็นสัญญาให้เรียบร้อย เงินห้าล้านตำลึงนี้ สามล้านยกให้เมืองโร่ตู เพราะเมืองโร่ตูเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ อีกสองล้านแบ่งให้กับพวกเขาทั้งสี่เมือง พวกเขาจะเอาไปสร้างอะไร เอาไปเพิ่มต้นทุนยังไง ก็แล้วแต่ความสามารถของพวกเขา”
“ฝ่าบาทวางใจ ทุกอย่างกำลังพัฒนาไปในทางที่ดี” ทังหยางพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“ลำบากเจ้าแล้ว tom มานั่งลองดื่มชากับข้า ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
ทังหยางพูดขึ้นมาอย่างตื่นตัวว่า “ไม่ดื่ม กระหม่อมยังมีงาน”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เอาวางไว้ก่อน ข้าอยากคุยกับเจ้า…..”
“มีเรื่องสำคัญจริงๆ กระหม่อมทูลลา” ทังหยางพูดเสร็จ ยกมือขึ้นประสานแล้วก็หันตัววิ่งออกไป
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างโกรธจัดว่า “เจ้านี่ วิ่งเร็วนัก ข้าไม่คิดที่จะกินเจ้าเสียงหน่อย ก็แค่อยากคุยความในใจกับเจ้า เจ้าอยู่ตัวคนเดียว นอกจากข้าแล้ว เจ้ายังจะพูดความในใจกับใครได้?”
มู่หรูกงกงเอามือปิดปากหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าทังกลัวพระองค์บ่น”
“ข้าขี้บ่นตอนไหน? ก็แค่พูดไปแล้วหลายครั้ง…. หรือสิบครั้งมากสุดก็ร้อยครั้งเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ได้ พระองค์ไม่ขี้บ่น” มู่หรูกงกงหัวเราะพร้อมพูดขึ้น
ฝ่าบาทเป็นห่วงและใส่ใจใต้เท้าทัง เรื่องนี้ใครก็ต่างมองออก เอ็นดูที่เขาวิ่งอยู่ข้างนอกคนเดียว ที่บ้านไม่มีใครอยู่คอยรับรู้ความในใจสักคน
“ข้าพูดไปเขาก็ไม่ฟัง ช่างเถอะ ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง เขาคิดว่าแบบนี้สบายก็พอ ขอเพียงต่อไปอย่าเสียใจ คนเราทั้งชีวิต หากได้เจอคนที่รักจริง ก็จะต้องจีบกลับมา ไม่อย่างนั้นเมื่อตาทั้งคู่หลับลงขาทั้งคู่หยุดเดิน หวนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา กลับไม่ได้อยู่เคียงคู่กับคนที่รัก จะไม่เสียใจได้อย่างไร?”
“ข้ารู้ว่าขี้บ่นไปหน่อย แต่ก็บ่นเพียงเรื่องนี้ รู้ว่าความรักเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ แต่ก็ร้อนใจไง”
มู่หรูกงกงมองปลายจมูก มองหัวใจ ไม่พูดไม่จา ตามอย่างที่เคยผ่านมา ฝ่าบาทยังจะต้องบ่นอีกครึ่งชั่วโมง เรื่องของใต้เท้าทัง เขาร้อนใจยิ่งกว่าใต้เท้าทัง
ช่างเป็นสิ่งที่ขันทีไม่ร้อนใจ แต่ฝ่าบาทร้อนใจจะแย่แล้ว
หยู่เหวินเห้ากลับมาตำหนักเสี้ยวเยว่ก็ยังบ่นต่อ หยวนชิงหลิงอ่านหนังสือ พูดตอบเป็นบางครั้งว่า “พวกเขาคิดว่าอยู่ด้วยกันด้วยวิธีแบบนี้ดี ก็ปล่อยไปเช่นนี้แหละ เจ้าจากไปยุ่งเยอะขนาดนั้นทำไม?”
“เจ้าคิดว่าแบบนี้สบายจริงๆหรือ? กลัวว่าพวกเขาเองต่างก็โกหกตัวเอง”
“เจ้าเผด็จการเกินไป”
“ข้าเผด็จการ? เจ้าไม่เห็นตอนที่ทังหยางพูดถึงแม่นางเจ็ด ดวงตาแทบจะประกายเป็นดวงดาวแล้ว”
“แม่นางเจ็ดคิดยังไง เจ้าไม่รู้สักหน่อย”
เอาห้าดื่มชาไปหนึ่งคำ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จริงๆว่าแม่นางเจ็ดคิดยังไง แต่เมื่อเปรียบเทียบด้วยใจแล้ว แม่นางเจ็ดเคยรักทังหยางขนาดนั้น ยังเคยแกล้งตายเพื่อประชดเขา ในใจสงบแล้วจริงๆหรือ? นางแค่ไม่อยากเสียหน้า และก็ยอมรับไม่ได้ที่ตนเองจะอภัยให้เขา แต่พวกเราต่างก็ว่ารู้เรื่องในตอนนั้นเป็นการเข้าใจผิด”
“ที่รัก ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะที่จะเป็นแม่สื่อ” หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้น
“กับคนอื่นก็ช่างเถอะ เจ้าทังอยู่กับข้ามาตั้งนานขนาดนี้ เห็นเขายังอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย ในใจมักจะรู้สึกไม่ดี ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าข้าทำให้คนอื่นค่อนข้างลำบากใจ และก็ยุ่งมากเกินไป ไม่พูดละ”
ปกติเมื่อพูดประชดตนเองเช่นนี้แล้ว หยวนชิงหลิงก็จะรู้ว่าการบ่นในครั้งนี้สิ้นสุดแล้ว จึงเงยหัวขึ้นมาหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ถ้าไปทำผิวน้ำนมให้เจ้า?”
“เลี่ยนเกินไป วันนี้อยากกินรสจืดหน่อย ต้มสุกี้หม้อไฟกินไหม?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ต้มสุกี้หม้อไฟยังเรียกว่าจืด?”
“ก็เจ้าชอบทาน ต้องตามใจภรรยา” หยู่เหวินเห้ายิ้มแย้มพร้อมขยับไปโอบกอดนาง จูบหนึ่งที จ้องมองดูนางพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าหยวน เจ้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งสวยขึ้น”
“ทำเป็นปากหวาน” หยวนชิงหลิงเมินใส่เขา
“พูดจากใจจริง ข้าดูยังไงก็ไม่อิ่ม” เขาจับมือนางไว้เบาๆ มือทั้งสิบประสานกันพร้อมพูดขึ้นว่า “หากระหว่างเจ้ากับข้า เกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เข้าใจผิด ข้าจะตามจีบเจ้ากลับมาอย่างไม่คิดถึงศักดิ์ศรี จะไม่ปล่อยไปแบบนี้เด็ดขาด ต่อให้เจ้าต่อยข้าทุกวัน ข้าก็ยอม จะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด”
วกกลับมาอีกแล้ว หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมลุกขึ้นพูดว่า “ข้าไปสั่งคนจัดเตรียมต้มสุกี้หม้อไฟ”
“จะว่าไป ที่จริงข้าสามารถมีพระราชการโองการ ประทานงานแต่งงาน….”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าห้า”
หยู่เหวินเห้าปล่อยมือของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “รู้แล้ว จะเอาความเป็นห่วงเป็นเหตุผลเพื่อไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นไม่ได้ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่พูดก็ไม่พูด หาเรื่องให้คนอื่นรำคาญ”