บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1593 ทำไมต้องปล่อยวาง
เขาตู๋ซานอยู่ที่เมืองโร่ตูยังเรียกว่าเมืองผี
ประชาชนในแถบเมืองโร่ตู จะเข้าไปในเขาตู๋ซานน้อยมาก ในทุกปีจะมีคนที่อยากร่ำรวยแล้วเข้าไปค้นหาสิ่งของล้ำค่า แต่สุดท้ายคนที่กลับออกมาไม่กี่คน
ต่อให้ออกมา ก็จะมีอาการบ้าๆบอๆ
ดังนั้น คนของราชสำนักจะเข้าไปในเขาตู๋ซาน ทำให้เป็นที่สนใจของพวกชาวบ้าน และมีคนตั้งใจมาพูดบอกถึงจวนว่า เขาตู๋ซานอันตรายอย่างมาก มีมารปีศาจและสัตว์ประหลาด ไม่ต้องไปจะดีที่สุด
ทังหยางบอกกับทุกคนว่า เขาตู๋ซานไม่ใช่มีมารปีศาจและสัตว์ประหลาด แต่ในทางกลับกัน เขาตู๋ซานเป็นสถานที่อยู่ของเทพเทวดา คนที่เข้าไปต้องการที่จะเด็ดหญ้าทิพย์ จิตใจคิดไม่ซื่อ ทำให้เทพเทวดาโกรธ จึงออกมาไม่ได้
ตราบใดที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เข้าไปด้วยจิตใจที่นอบน้อมเคารพนับถือ ก็จะสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย
ทังหยางพูดว่า นี่เป็นคำพูดของราชครู และตั้งใจที่จะส่งเข้ามาเพื่อพิสูจน์
ตอนที่ทังหยางพูดออกมาเช่นนี้ ที่จริงในใจละอายอย่างมาก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากันเยอะๆ ฝ่าบาทยังส่งจดหมายไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเชื้อเชิญให้มาท่องเที่ยว เป็นผู้เริ่มต้นในการแต่งเรื่องขึ้นมา
แต่เขาก็เห็นด้วยกับการเปิดความจริงของเขาตู๋ซาน เปิดให้กับทุกคนในโลก เพราะวิวทิวทัศน์ของเขาตู๋ซาน เป็นสถานที่สวยงดงามไม่ซ้ำใครของเป่ยถัง
คำพูดเช่นนี้ของทังหยาง มีทั้งคนที่เชื่อ คนที่เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่คนที่เชื่อมีจำนวนน้อย
ทุกคนต่างรอดูสถานการณ์ก่อน
ก่อนจะเข้าไป ทังหยางถามแม่นางเจ็ดว่า “เจ้ายอมที่จะเขาไปพร้อมกับข้าจริงหรือ?”
ตอนที่แม่นางเจ็ดอายุยังน้อยเคยเข้าไปหนึ่งครั้ง แต่ไม่ได้เดินเข้าไปไกล ถูกดึงดูดด้วยดอกเปลวไฟแห่งนรกที่มีอยู่เต็มภูเขา โชคดีที่หลังจากสะดุดล้มในดอกเปลวไฟแห่งนรก ค่อยได้สติขึ้นมา จึงรีบออกมาทันที
แต่เมื่อออกมาแล้ว ดอกไม้สีแดงเพลิงนั่นยังตราตรึงอยู่ในใจเสมอมา เหมือนอย่างกับถูกครอบงำ
ตอนนี้ก่อนที่จะมาถึงเขาตู๋ซาน ความฝันในตอนนั้นก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีก โหยหาปรารถนาจนยังจะคิดถึงอันตรายตรงไหน?
กระทั่ง นางลืมความตั้งมั่นของตนเองที่ยึดถือมาตลอด อายุขนาดไหนทำอะไร ล้วนกำจัดทิ้งไป โอกาสมาแล้ว ไม่ว่างนางจะยังเยาว์วัยเพียงพอหรือไม่ ก็ควรที่จะไปเสี่ยงอันตรายเพื่อฝันของตนเอง
ดังนั้นเมื่อทังหยางถามนาง นางซ่อนกริชไว้ในกระเป๋าแขนเสื้อ พร้อมพูดขึ้นว่า “ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็จะต้องเข้าไปอย่างแน่นอน”
“เจ้าเชื่อใจข้าจริงๆหรือ? ไม่กลัวว่าข้าจะพาเจ้าออกมาไม่ได้หรือ?” ทังหยางค่อนข้างตื่นเต้น
แม่นางเจ็ดกวาดสายตามองดูเขาแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่เกี่ยวกับความเชื่อใจ ครั้งนี้ ต่อให้ตายอยู่ข้างในข้าก็ยอม”
แต่ในเรื่องการทำงาน นางเชื่อใจทังหยาง เรื่องที่เขาจะทำ จะต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว มีความเชื่อมั่นน้อยกว่าแปดส่วน เขาจะไม่ลงมือทำ
ส่วนความไม่แน่ใจในอีกสองส่วนนั้น นางยอมที่จะเสี่ยงอันตรายสักครั้ง
ทังหยางยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ งั้นไปกันเถอะ”
ทังหยางแบกกระเป๋าไว้ข้างหลังหนึ่งใบ มีพวกหมั่นโถวกับเนื้อตากแห้ง ไม่ได้เอาน้ำไปด้วย เพราะหลังจากเข้าไปในเขาแล้วก็มีน้ำ
ต้นเก้าหวนสีดำบนภูเขาผสมกับไฟนรกสีแดง ก่อให้เกิดพิษ รบกวนความคิดของคน ทำให้ตกอยู่ในอาการประสาทหลอน
แต่พิษแบบนี้ถอนพิษง่ายมาก เด็ดคั้นน้ำดอกในดอกเปลวไฟแห่งนรก ทาได้ทุกที่ในร่างกาย ก็สามารถถอนพิษได้
ใครจะไปคิดว่า สิ่งที่ทำให้คนกลัว กลับเป็นยาถอนพิษ?
ดอกเปลวไฟแห่งนรกอันกว้างใหญ่นี้ สวยงดงาม แปลกประหลาด ทำให้คนเห็นแล้วก็หลงใหล แต่สิ่งที่น่าหลงใหลก็ทำให้น่ากลัวได้เช่นกัน แถมมีคนเคยบอกว่า ดอกเปลวไฟแห่งนรกมีพิษร้ายแรง ดังนั้นคนที่เข้าไปล้วนหลีกเลี่ยงตรงนั้น ไม่มีทางคิดที่จะเด็ดดอก แล้วเอามาทามือ
ตรงปากทาง มีแห่งหนึ่งดอกเปลวไฟแห่งนรกบานสวยมาก ดอกเปลวไฟแห่งนรกที่นี่ ไม่อยู่ใกล้ต้นเก้าหวน จึงไม่มีพิษ นี่คือของขวัญแห่งโลกที่มอบให้มนุษย์ สามารถเด็ดดอกเปลวไฟแห่งนรกตรงหน้าปากทางมาทา แล้วค่อยเข้าไป ตลอดระหว่างทางก็จะไม่หลงกลภาพหลอน
มองเห็นดอกเปลวไฟแห่งนรกตรงปากทาง แม่นางเจ็ดราวกับต้องเวทมนตร์ ดอกไม้ในฝัน จู่ๆก็ปรากฏตรงหน้า รู้สึกเหมือนดั่งฝัน
ทังหยางยื่นมือไปเด็ด นางรีบร้องตะโกนพูดว่า “เจ้าทำอะไร? หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ทังหยางกลับเด็ดดอกเปลวไฟแห่งนรกมาไว้ในมือแล้ว พร้อมยิ้มพูดกับเขาว่า “นี่คือยาถอนพิษ”
เขาถูบนมือของตนเองสักพัก จากนั้นก็ถูบนมือแม่นางเจ็ด คั้นเอาน้ำในดอกเปลวไฟแห่งนรกทาบนมือของนาง น้ำที่คั้นออกมาคล้ายเลือดสด สีแดงสดมาก บนหลังมือเหมือนถูกทาไปด้วยเลือด นางอึ้งพร้อมพูดขึ้นว่า “จริงหรือ? อัศจรรย์ขนาดนี้เลยหรือ?”
แล้วนางคอยคิดขึ้นมาได้ ตอนนั้นนางสะดุดล้ม กระเด็นไปบนดอกเปลวไฟแห่งนรก สัมผัสโดดน้ำเกสรถึงได้สติกลับมา แต่ตอนนั้นกลับคิดว่าตัวเองมีความอดทนเพียงพอ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” แม่นางเจ็ดถามขึ้นอย่างแปลกใจ
ทังหยางบอกอย่างไม่ปิดบังว่า “อ๋องชินเฟิงอันบอกว่า ตอนนั้นพวกเขามาตามหาศพของแม่ทัพฟางในเขาตู๋ซาน พวกเขาเข้าออกในเขาอย่างอิสระ ก็เพราะรู้ความลับนี้ ตอนนี้เจ้าทาน้ำดอกเกสรดอกเปลวไฟแห่งนรกแล้ว งั้นตลอดทางก็ไม่ต้องกลัวภาพหลอนแล้ว สามารถชมทิวทัศน์ของเขาตู๋ซานแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าไขปริศนาของภูเขาลูกนี้ ยากยิ่งกว่าปีนขึ้นฟ้าเสียอีก ที่ไหนได้แค่ใช้ดอกเปลวไฟแห่งนรกถอนพิษ” แม่นางเจ็ดพูดบ่น
ทังหยางมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ บางสิ่งที่ดูแก้ไขยาก ถนนยากที่จะเดิน ยากที่จะตัดสินใจ ที่จริงล้วนสามารถเปลี่ยนให้เป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน”
“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้าพูดเป็นนัย?” แม่นางเจ็ดมองดูเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง
ทังหยางยกมือประสาน พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ ไม่มี แค่พูดถามความรู้สึก ไม่ได้มีความหมายแฝงแน่นอน”
ในใจแม่นางเจ็ดมีความสุข ไม่อยากสนใจเขา เดินมุ่งตรงไปข้างในทันที
“รอข้าด้วย” ทังหยางวิ่งตามไป ยิ้มสดใสยิ่งกว่าพระอาทิตย์ เดินไปใกล้แม่นางเจ็ดแล้วจ้องมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้เจ้ายิ้ม สวยงดงามมาก สวยงดงามยิ่งกว่าดอกไม้”
“หากข้าได้ยินประโยคนี้ตอนที่ข้าอายุสิบแปด ข้าจะดีใจมาก” แม่นางเจ็ดหัวเราะ ยกนิ้วไปชี้ที่ริมฝีปาก พร้อมพูดขึ้นว่า “เงียบๆ อย่ารบกวนข้าชมดอกไม้ เจ้าก็เหมือนกัน กว่าจะมา ควรชื่นชมอย่างตั้งใจ”
ทังหยางพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ แต่ก็ดังเพียงพอให้นางได้ยินว่า “ทัศนียภาพทั่วทั้งภูเขา สู้เจ้าได้เสียที่ไหน?”
แม่นางเจ็ดหัวเราะ หากมีประสบการณ์ในด้านความรักสักนิด ก็คงไม่พูดประโยคที่มีแต่วัยรุ่นอายุสิบกว่าเท่านั้นที่ชอบฟังแบบนี้
แสดงว่าในหลายปีมานี้ ประสบการณ์ในด้านความรักของทังหยางนั้นว่างเปล่า
บนเขาตู๋ซาน ลักษณะภูเขาแปลกประหลาด พืชพันธ์ดอกไม้แปลกประหลาด มีสิ่งล้ำค่าแปลกประหลาดมากมาย ลำธารเล็กๆ โอบล้อมทั่วทั้งเขาตู๋ซานเหมือนดั่งเข็มขัดหยก แสงแดดส่องผ่านใบไม้ที่หนาทึบ ดุจทองคำที่หักแล้ว ภูเขาก็เต็มไปด้วยสีม่วงและสีแดง
ใบของต้นเก้าหวนเป็นสีดำ แปลกประหลาดอย่างมาก และชอบบานอยู่ใกล้ด้านข้างสีแดงเพลิงของดอกเปลวไฟแห่งนรก แดงดำกระทบกัน ทำให้คนมึนเมาและเวียนหัวเหมือนดั่งจับจ้องมองดูวังน้ำวน
ไม่มีภาพหลอน แต่เพิ่มเติมคือความมึนเมา นี่คือผลกระทบทางสายตาที่เกิดจากความงาม
ราวกับว่าอดีตได้ฉายแสงต่อหน้าต่อตา ภาพแต่ละภาพ สิ่งที่มีความสุขกับสิ่งที่ไม่มีความสุข ราวกับกลุ่มเมฆที่ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว
ที่ผ่านมาแม่นางเจ็ดไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้น กลับคิดเห็นว่าตนเองปล่อยวางได้เยอะแล้ว
แต่ตอนนี้มองดูความงามของภูเขา สมองว่างเปล่าลง มองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองอย่างชัดเจน
นางยังคงขุ่นเคืองทังหยาง แต่ยังคงหลอกตัวเองว่าลืมอดีตไปหมดแล้ว ปล่อยวางแล้ว ดังนั้นจะเป็นที่รักหรือที่ชังก็ไม่ใส่ใจ
ช่างมันปะไรได้ยังไง นางยังคงเกลียดกับความไร้เยื่อใยของเขาในตอนนั้น
เหตุใดความภักดีความที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขา กลับทำให้นางต้องมาทนทุกข์ทรมาน
เหตุผลบ้าอะไร ชาตินี้หากไม่อธิบายให้นางฟัง นางก็จะเกลียดเขาไปตลอดชีวิต เป็นอย่างไร?
ใครบอกว่าคนเราเมื่อถึงวัยกลางคนแล้ว ควรที่จะปล่อยวาง?