บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1594 แบบนั้นโลภมากไปแล้ว
เขาตู๋ซานนี้ เป็นเหมือนดั่งกระจกส่องสะท้อนใจคน ความคิดที่แท้จริงในหัวใจไม่อาจปิดซ่อนได้
แม่นางเจ็ดหยุดลง มองดูทังหยาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเคยทรยศข้า จำได้ไหม?”
ที่ผ่านมาทังหยางอยากที่จะคุยเรื่องนี้กับนางมาตลอด แต่นางก็บอกปัดออกด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ ไม่อยากพูดถึงอดีต ตอนนี้จู่ๆก็ได้ยินนางพูดขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ ข้าจำได้แน่นอน”
แม่นางเจ็ดพูดขึ้นว่า “ในเมื่อจำได้ งั้นเขาตู๋ซานนี้ต้องเอามาให้ข้าให้ได้ หลังจากที่ข้าบุกเบิกแล้ว ภายในสิบห้าปีกำไรทั้งหมดเป็นของข้า หลังจากสิบห้าปี ข้ากับเจ้าหญิงต้องได้คนละครึ่ง ข้าไม่เอาแค่สามส่วน”
ทังหยางพูดขึ้นว่า “แต่ข้าบอกฝ่าบาทแล้วว่า แบ่งสามกับเจ็ดส่วน”
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า เจ้าติดตามฝ่าบาทมาตั้งนานขนาดนี้ เขาน่าจะคิดถึงความดีของเจ้าบ้าง ให้โอกาสเจ้าได้พูด ขึ้นอยู่แค่ว่าเจ้าเต็มใจจะพิจารณาถึงผลประโยชน์ของใครมากกว่ากัน” แม่นางเจ็ดพูดขึ้น
ทังหยางถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “แม่นางเจ็ด สามส่วนเป็นผลกำไรที่ไม่เลวแล้ว ราชสำนักจะช่วยเจ้าเชื้อชวนคนมาเที่ยว อีกอย่างการลงทุนในช่วงแรก ก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะ เพียงแค่ซ่อมถนนไม่กี่สาย เจ้ายังสามารถเปิดร้านค้าขาย ให้บริการนักท่องเที่ยว นี่ก็ถือเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลย”
“ห้าส่วนห้า นี่เป็นขีดจำกัดของข้า ข้าเป็นนักธุรกิจ ผลประโยชน์ของนักธุรกิจ เจ้าน่าจะรู้”
ทังหยางคิดไปคิดมา แล้วก็พูดขึ้นว่า “งั้นข้ากลับไปพยายามคุยกับฝ่าบาทดู เพียงแต่ข้าก็ไม่รับประกันว่าจะสามารถขอให้เจ้าได้ไหม”
“ขอไม่ได้ก็ช่างเถอะ” แม่นางเจ็ดยักไหล่ ไม่ว่ายังไงหากราชสำนักบุกเบิก ข้าก็สามารถมาท่องเที่ยวเขาตู๋ซานได้ ทำไมจะต้องเอามาเป็นกิจการของตนเองให้ได้ล่ะ? ชั่วชีวิตของข้าสามารถมีได้กี่ครั้ง? ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมากมายขนาดนี้
ทังหยางหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป เจ้าเป็นเสาหลักของตระกูลหยวน ปกป้องพวกเขามาตลอด แต่ก็จะเป็นการทำให้พวกเขาไม่รู้จักเติบโต”
“ห้าต่อห้า” แม่นางเจ็ดพูดทิ้งท้ายสองคำ แล้วก็เดินต่อไปข้างหน้า
ดูเหมือนว่านางจะมีอำนาจเหนือการเจรจาและความร่วมมือทั้งหมดในคราวเดียว นางเป็นคนเสนอเงื่อนไข ยังไงคนที่มีเงินก็อยู่เหนือกว่า
ขุนนางราชสำนักในฐานะกลุ่มเปราะบาง โลภเงินจำนวนมากในมือของผู้อื่น ทำได้เพียงฉีกรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วค่อยๆพูด เขาก็ลำบากใจ ตอนนี้เป่ยถังค่อยๆพัฒนาขึ้นมาแล้ว ในมือประชาชนมีเงินแล้ว แต่ประเทศชาติไม่มีเงิน เป่ยถังที่มีประชาชนร่ำรวยแต่ราชสำนักยากจน เพื่อพัฒนาพื้นที่รกร้างต่อไป จะต้องอาศัยพ่อค้าแต่ละคนของเป่ยถัง หล่อเลี้ยงทีละคน
ตลอดทางที่เข้ามาภูเขามาด้สน พูดกล่อมไปด้วย อาจเป็นเพราะสุดท้ายแม่นางเจ็ดตื้นตันในความจงรักภักดีของทังหยางที่มีให้กับประเทศ จากห้าส่วนลดลงเหลือสี่ส่วน ทังหยางบอกว่าจะกลับไปพยายามพูดกล่อมฝ่าบาท
แต่ผลกำไรหกส่วนก็ยังดี เพื่อเมืองโร่ตู นับว่าพยายามอย่างที่สุดแล้ว เมืองโร่ตูยากจน ถึงแม้จะมีดินมีภูเขา แต่เก็บเกี่ยวได้น้อยมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยมีนโยบายเปิดเมืองโร่ตู ผู้คนจำนวนมากจึงสนใจที่จะมาเพาะปลูก แต่ถ้าไม่มีโครงการพัฒนาที่ยั่งยืน ท้ายแล้วก็ยังจะต้องจากไป
และเมืองโร่ตูนอกจากจะมีเหมืองแร่แล้ว ก็มีเขาตู๋ซานแห่งนี้ที่สามารถขายได้เงินมา สามารถหาเลี้ยงชีพได้โดยการดึงดูดนักท่องเที่ยว แร่เหล็กยังต้องขุด แต่ก็ยังไม่ได้ทำการเจรจาทำความร่วมมือกับแคว้นจิน ไม่สามารถขุดได้ตามความต้องการ
ทำได้เพียงลงมือที่เขาตู๋ซานก่อน
ทั้งสองคนอยู่บนเขาตู๋ซานสามวันแล้วค่อยลงเขา แน่นอนว่ายังไม่ได้เดินจนทั่วทั้งเขาตู๋ซาน แต่แม่นางเจ็ดคิดว่าได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่สุดบนโลกนี้แล้ว ในใจรำลึกคิดถึงวิวทิวทัศน์มาตลอด ธรรมชาติคือทิวทัศน์ที่ดีที่สุดในโลก
ที่จริงต่อให้มีแค่สามส่วน นางก็ยอมแล้ว
เพียงแค่อยากสร้างความลำบากใจให้กับทังหยาง ดูว่าเขาจะยอมถอยหรือไม่ เพราะที่จริงไม่ว่าจะให้กี่ส่วนทังหยางเป็นคนตัดสินใจ ฝ่าบาทครองราชย์มาหลายปีนี้ นางก็พอรู้นโยบายของราชสำนัก รู้ว่าเวลาฝ่าบาทใช้คน จะเป็นการปล่อยมือทั้งหมด โดยเฉพาะกับทังหยางซึ่งมีความเชื่อมั่นอย่างที่สุด
โชคดีที่ทังหยางยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ยอมให้นางหนึ่งส่วน หนึ่งส่วนนี้ถือเป็นการยอมถอยอย่างที่สุดแล้ว เดิมยังคิดว่าเขาจะกลับไปไตร่ตรองหลายวัน สุดท้ายกลับรับปากในทันที ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
กลับมาถึงเมืองโร่ตู ก็ได้เซ็นสัญญาภายในคืนนั้นภายในคืนนั้น โดยมีเจ๋อหลานกับเหลิ่งจิ้งเหยียนหงเย่เป็นพยาน เซ็นสัญญาลงนาม ภายในสิบห้าปี สิทธิการพัฒนาเขาตู๋ซานและสิทธิ์การจัดการถูกโอนไปยังแม่นางเจ็ด ผลกำไรหลังจากสิบห้าปี แม่นางเจ็ดราชสำนักแบ่งกันสี่ส่วนกับหกส่วน
เจ๋อหลานยิ้มมองดูสัญญา และก็ประทับลายนิ้วมือของนางลงไป นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ท่านพ่อมอบให้กับนาง และเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่มอบให้กับเมืองโร่ตู นางรับไว้อย่างยินดีอยู่แล้ว
“เจ้าหญิง ฝ่าบาทช่างรักและเอ็นดูเจ้ายิ่งนัก” แม่นางเจ็ดพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ใช่ ข้าก็คิดเช่นนี้ ป้าเจ็ด ต่อไปเจ้าก็ถูกผูกไว้กับเมืองโร่ตูแล้ว หวังว่าจะมีความสุขในความร่วมมือ” เจ๋อหลานพูดกับแม่นางเจ็ดอย่างกับผู้ใหญ่ตัวน้อย
คำว่าป้า ทำให้แม่นางเจ็ดถอดใจยิ่งนัก อายุมากแล้วจริงๆ กลับยังไม่มีลูกหลาน
อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทังหยางแวบหนึ่ง เห็นเขาจ้องมองนางตาละห้อย แตกต่างไปจากเดิมที่เฉยชาอย่างสิ้นเชิง
เจ้าเฒ่านี่ในใจคิดอะไรอยู่?
นางตัดสินใจที่จะไม่เป็นคนพูดก่อนเด็ดขาด
เขามีความสามารถก็ให้ทนไปตลอดชีวิต ต่อให้ตายก็จะไม่พูด แต่นางกลับจะไม่ยอมรอเขาอยู่ที่เดิมอีกต่อไป
“ใต้เท้าทัง สายตาของเจ้าเป็นอะไร?” เหลิ่งจิ้งเหยียนถามขึ้น
“อืม? อะไร?” ทังหยางได้สติ หันกลับมามองดูเหลิ่งจิ้งเหยียน
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “สายตาของเจ้าจ้องมองดูหน้าอกของแม่นางเจ็ดอยู่ตลอด เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างอึ้ง ต่างหันไปมองดูทังหยางด้วยสายตาแปลกประหลาด
แม่นางโจวเอามือปิดหูเจ๋อหลานไว้พร้อมพูดขึ้นว่า “เสียมารยาทไม่ควรดู ไม่ควรฟัง”
ทังหยางอ้าปากค้าง รีบโบกมือพูดขึ้น “ไม่ ไม่ใช่ ใต้เท้าหลิ่งดูผิดหรือเปล่า?”
“ดูไม่ผิด เจ้าเอาแต่จ้องไปที่คอเสื้อและทรวงอกของคนอื่น” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดเสร็จ อุ้มลิงแล้วก็เดินออกไปอย่างมีซ่อนเร้น
ทังหยางหน้าแดง มองดูแม่นางเจ็ด อยากพูดอธิบาย แม่นางเจ็ดไอหนึ่งที เอื้อมมือจัดคอเสื้อ พร้อมพูดขึ้นว่า “ถุย ลามก”
พูดเสร็จ แล้วก็หันตัวเดินจากไป
ทังหยางหันมามองแม่นางโจวกับหงเย่อย่างโศกเศร้าพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเห็นไหม ข้าไม่….”
หงเย่สะบัดแขนเสื้อ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ? ดวงตาอยู่บนหน้าของเจ้า เจ้ามองใคร มองตรงไหน พวกเราจะไปรู้ได้อย่างไร?”
แม่นางโจวก็จูงมือเจ๋อหลานออกไป พร้อมพูดขึ้นว่า “ห้ามเล่นกับใต้เท้าทัง เขานิสัยไม่ดี”
จู่ๆทังหยางก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ไม้ที่ใต้เท้าเหลิ่งฟาดลงมานี้ เขาถูกตีจนมึนงงจริงๆ
เขาไม่ใช่คนแบบนั้นนะ?
“หมิงหยู่…..”
เหลิ่งหมิงหยู่เอามือปิดหู วิ่งออกไปข้างนอกพร้อมพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าทังไม่ใช่คนดี”
ทังหยางยกมือกุมขมับ แม่เจ้าข้าเอ้ย
เดินออกไปอย่างหดหู่สิ้นหวัง กลับเห็นหูหมิงแอบหัวเราะอยู่ข้างนอก จึงอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าหัวเราะอะไร?”
หูหมิงเดินมาพูดขึ้นว่า “พ่อบุญธรรม ท่านลืมแม่นางเจ็ดไม่ได้ ทุกคนต่างก็รู้ ทำไมท่านถึงไม่พูดกับแม่นางเจ็ดล่ะ?”
ทังหยางพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “จะไปพูดว่าอย่างไร? คนอื่นยอมพูดกับข้าไหม? ข้าจะไปหาที่ให้รังเกียจทำไม?”
“ท่านไม่พูด แล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ? เจ้าสั่งสอนข้ากับหกเกอเอ๋อ ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ต้องกล้าที่จะก้าวออกมาเป็นอันดับแรกไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร?” ทังหยางเอามือไขว้หลังแล้วเดินจากไป
เคยชินกับการอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกไม่เลว อย่างน้อยก็ยังได้เป็นเพื่อนเขาก็พอใจแล้ว ยังคิดจะพัฒนาเพิ่มไปอีกขั้น? แบบนั้นจะเป็นการโลภมากเกินไป