บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1595 ความเขินอายของใต้เท้าทัง
ทังหยางคิดว่าตนเองรู้จักผู้หญิงเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแม่นางเจ็ดอุปนิสัยค่อนข้างเข้มแข็ง และนางก็เคยชินกับการอยู่คนเดียว มีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องผูกมัดอยู่กับเขา
แต่นั่นคือสิ่งที่เขาคิดไปเองว่ารู้ดี
กลับไม่รู้ว่าใจผู้หญิงนั้นมักแปรปรวน คนที่เข้มแข็งแค่ไหน มีบางครั้งที่ต้องการความอ่อนโยน แม่นางเจ็ดอยู่ตัวคนเดียวมานานขนาดนี้ บนที่สูงอากาศเหน็บหนาว ตอนนี้ถึงวัยกลางคนแล้วรู้สึกเหงาขึ้นมาแล้ว
มีใครสักคนอยู่ข้างกาย บางทีชีวิตคงไม่เป็นอย่างนี้
อาจมีความเป็นไปได้มากมาย
แน่นอนว่าอาจจะแย่ก็เป็นได้
แต่คติประจำตระกูลของตระกูลหยวน นอกจากความจงรักภักดีและรักชาติ ก็มีเพียงอีกสองคำ นั่นก็คือกล้าหาญ
ไก่ที่ตระกูลหยวนเลี้ยง ล้วนกล้าหาญกว่าคนอื่นๆ
นางเคยประสบความล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง แค่บอกว่าไม่เชื่อมั่นในความรักอีกต่อไป นี่คือความกล้าหาญแล้วหรือ?
แน่นอน นางไม่ได้จะต้องหาทังหยางเท่านั้น สามารถหาคนอื่นที่เหมาะสมแล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างกล้าหาญอีกสักครั้ง
ส่วนทังหยาง หากเขายอมเปิดปากพูด ยังมีความคิดเช่นนี้อยู่ ก็จะให้โอกาสเขาสักครั้ง
เพราะนางไม่สามารถโกหกตนเอง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ คนเดียวที่เดินเข้ามาในหัวใจของนาง มีเพียงเขาคนเดียว
บางทีอาจจะต้องลอง ถึงจะรู้ว่าสุดท้ายเหมาะสมหรือไม่
หรือบางที ที่จริงคิดว่าเขาเหมาะสม เพียงเพราะตนเองปิดกั้นหัวใจ ไม่ให้คนอื่นมีโอกาสเดินเข้ามา นี่จึงเป็นภาพลวงตา
รอกลับถึงเมืองหลวง หากเขายังไม่พูด
หลังจากเจ๋อหลานตามแม่นางโจวออกไปแล้ว ก็ถามแม่นางโจวว่า “ทำไมใต้เท้าทังถึงเป็นคนไม่ดี?”
“เพราะเขาแอบมองผู้หญิง”
“เขาชอบป้าเจ็ด มองป้าเจ็ดไม่ได้หรือ?”
แม่นางโจวคิดว่าเจ้าหญิงยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางต้องสอนเจ้าหญิงถึงจะถูก จึงพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “ผู้ชายคนหนึ่ง หากรักชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ปกติจะมองตานาง ไม่จ้องมองส่วนอื่น ดังนั้นใต้เท้าทังไม่ได้ชอบแม่นางเจ็ด”
“อ้อ เหมือนอย่างพี่ชายหูหมิงมองตาเจ้าแบบนั้นหรือ? พี่ชายหูหมิงชอบเจ้าหรือ?” เจ๋อหลานถามขึ้นด้วยสายตาเป็นประกาย
แม่นางโจวอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่….เพราะเขาพูดคุยกับข้า ดังนั้นจึงจ้องมองตาข้า จ้องมองตาไม่ได้แปลว่ารัก นี่คือมารยาท”
“ดังนั้น การรักคนคนหนึ่งต้องมีมารยาทหรือ?” เจ๋อหลานเอียงหัว พร้อมถามขึ้นอย่างครุ่นคิด
แม่นางโจวคิดไปคิดมา แล้วก็พูดขึ้นว่า “อืม คนเราต้องมีมารยาท กับความรักก็ต้องมีมารยาท”
“อ้อ” เจ๋อหลานพยักหัวอย่างรู้บ้างไม่รู้บ้าง นางไม่รู้เรื่องความรักจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่ช่วงวัยของนางควรรู้
แต่ว่าเมื่อก่อนอาจารย์เคยพูดถึงเรื่องอาจารย์แม่เยว่เอ๋อ เขาบอกว่าอาจารย์แม่ตามตื้อจีบเขา เริ่มแรกเขาไม่ชอบนางอย่างมาก ตามตื้อจนไม่รู้จะทำยังไง และเห็นว่านางก็ว่าสวย จึงยอมรับนาง
แต่เริ่มตั้งแต่ที่เขายอมรับ ชีวิตที่เหลือคือฝันร้าย
น่าจะเป็นเพราะอาจารย์แม่ไม่มีมารยาท
เจ๋อหลานจึงไปหาทังหยาง ดึงมือเขาไปเดินเล่น จากนั้นก็พูดโน้มน้าวเขาว่า “ใต้เท้าทัง หากท่านรักป้าเจ็ด ท่านก็ต้องให้เกียรตินาง ตอนที่พูดคุย ต้องมองตานาง ไม่ควรมองที่อื่น”
ทังหยางรู้แล้วว่าคนพวกนั้นสอนเจ้าหญิงไปในทางที่ผิดแล้ว จึงรีบพูดขึ้นว่า “เจ้าหญิงอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่มองตรงส่วนอื่น”
“งั้นเวลาที่เจ้าพูด ได้มองตานางไหม?”
“มอง…ไม่ได้มอง มองตานางไม่ได้” ทังหยางไม่ค่อยกล้ามองสบตานาง แต่จะชอบมองหน้านาง และกล้าที่จะจ้องมองเมื่อนางไม่มองเขา
“ทำไมถึงมองตาของนางไม่ได้?” เจ๋อหลานไม่เข้าใจ
ทังหยางครุ่นคิด แล้วก็พูดขึ้นว่า “เพราะเวลามองตาของนาง ในใจจะเจ็บปวด หวาดกลัว กระวนกระวาย ทำตัวไม่ถูก แม้แต่คำพูดก็พูดไม่ออก”
เจ๋อหลานดึงมือของเขา มองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นเจ้ามองตาข้าแล้วพูดดู”
ใต้เท้าทังมองดูนางอย่างอ่อนโยน หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ งั้นข้ามองนัยน์ตาเจ้าหญิง เจ้าหญิงสวยมาก”
“เจ้าพูดว่าข้าสวย ข้ามีความสุขมาก เจ้าก็ต้องพูดชมป้าเจ็ด นางจะต้องมีความสุขแน่”
ใต้เท้าทังส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่เหมือนกัน นางผ่านพ้นช่วงอายุนี้ไปแล้ว พูดชมว่านางสวยในตอนนี้ นางจะคิดว่าเหลาะแหละ สัปดน”
“เป็นไปได้อย่างไร? ใครๆก็ชอบถูกชม ใต้เท้าทัง ท่านรู้ไหมว่าท่านมีความสามารถอย่างมาก?”
ใต้เท้าทังหัวเราะเสียงดัง พร้อมพูดขึ้นว่า “อ้อ? ใช่หรือ?”
“อืม ทุกคนต่างพูดเช่นนี้”
ใต้เท้าทังยิ้มอย่างภูมิใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ทุกคนชมเกินไปแล้ว”
“เจ้าดีใจไหม?” เจ๋อหลานถามขึ้น
ใต้เท้าทังพยักหัวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็ตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์”
เจ๋อหลานจูงมือของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าอยากให้ลุงทังก็มีคนรัก”
ใต้เท้าทังซาบซึ้งมาก ลูบเส้นผมเจ๋อหลาน พร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ ข้ารู้แล้ว”
เพราะการเซ็นสัญญาสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในจวนจึงจัดงานเลี้ยง ทุกคนร่วมฉลองด้วยกัน
อาหารและเครื่องดื่มที่เตรียมมาไม่เยอะ เตรียมเล็กๆ น้อยๆเพื่อแสดงความเคารพ…..ในความเป็นจริงมีหลายถัง ทุกคนดื่มกันจนถึงที่สุด
เจ๋อหลานไม่ดื่มเหล้า แม่นางโจวจึงทำน้ำลูกพลับให้นางหนึ่งแก้ว เปรี้ยวๆหวานๆ อร่อยเป็นพิเศษ
ทุกคนต่างหมุนเวียนชนแก้วกัน ดื่มจนเมามายอย่างมากแล้ว พูดประโยคภาคภูมิใจออกมาไม่น้อย บอกว่าจะพัฒนาเมืองโร่ตูให้เจริญยิ่งๆขึ้น กลายเป็นเมืองอันดับหนึ่งสองของเป่ยถัง
แม่นางเจ็ดเริ่มคิดหาวิธีว่าจะพัฒนาเขาตู๋ซานอย่างไร ความงดงามของเขาตู๋ซาน ไม่รู้จะเริ่มลงมือตรงไหนก่อน จึงขอความเห็นจากทุกคน
ทุกคนแสดงความคิดเห็น ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพัฒนาความงาม
เจ๋อหลานกลับมีความคิดเห็นใหม่ๆ บอกว่าในเมื่อในเขาตู๋ซานมีน้ำพุร้อน ทำไมไม่สร้างเป็นบ้านไม้เป็นหลังๆ จากนั้นต่อน้ำพุร้อนไป ทำเป็นอ่างแช่น้ำ แล้วเก็บค่าเข้าใช้บริการ
แนะนอนว่าจะต้องทำการเชื้อชวน บอกถึงประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพของน้ำร้อนเหล่านี้
ความคิดของเจ๋อหลาน ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ในยุคสมัยนี้ เพราะที่นี่ ใช่ว่าทุกคนจะสามารถแช่อ่างได้ ถือเป็นความเพลิดเพลินอย่างที่สุด
หากสามารถสร้างขึ้นมาได้ จะต้องดังแน่
แม่นางเจ็ดฟังแล้วก็ดีใจ มองดูเจ๋อหลานด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ พร้อมพูดขึ้นว่า “สมองน้อยนิดของเจ้าทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้?”
เจ๋อหลานยิ้มสดใสเบิกบานยิ่งกว่าดอกไม้
ทังหยางที่นั่งอยู่ด้านข้างมองเห็น แล้วก็คิดในใจว่า คนเราต่างชอบได้รับการยกย่องจริงด้วย
จึงมองดูแม่นางเจ็ดพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าก็ฉลาดอย่างมาก ร้านของตระกูลหยวนอยู่ในมือของเจ้า สร้างกำไรมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ คาดว่าอีกแปดปีสิบปี จะต้องล้ำหน้าท่านชายสี่แล้ว”
ทุกคนต่างหันมามองดูเขา แล้วก็เงียบไม่พูดไม่จากันขึ้นมา
“แค่กๆ” หงเย่มองดูเขา พร้อมยิ้มพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าทัง เกินไปละ”
“ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้” ทังหยางพูดขึ้นอย่างจริงจัง
แม่นางเจ็ดได้ยินเช่นนี้ จนรู้สึกเก้อเขินขึ้นมา เหลือกตาใส่เขาพร้อมพูดขึ้นว่า “อย่าพูดไปเรื่อย”
หากเปรียบเทียบว่า ธุรกิจก็มีพีระมิด ท่านชายสี่อยู่บนยอดแหลม เป็นจุดแหลมที่โผล่ออกมา ส่วนตระกูลหยวนยังเพิ่งปีนขึ้นไปถึงเอว
อาณาจักรธุรกิจของท่านชายสี่ ได้กระจายไปทั่วทุกอุตสาหกรรม และยังทำธุรกิจกับประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
หากจะมีใครสักคนสามารถเปรียบเทียบกับท่านชายสี่ นั่นก็คือโรงเงินติ่งเฟิงแคว้นต้าโจวของหูชิงหยุน
หลังจาก ทังหยางคิดดูแล้ว ก็เห็นว่าตนเองพูดค่อนข้างเกินไป จึงหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “พยายามอีกสักหน่อย ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
ทุกคนต่างหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
หลังจากแม่นางเจ็ดเก้อเขินเสร็จแล้ว ก็รู้สึกค่อนข้างแปลกๆ นางเข้าใจทังหยางเป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่เป็นกลางมาตลอด แต่วันนี้เขากลับพูดออกมาอย่างไม่เป็นกลาง แสดงว่าคิดอยากที่จะพูดเอาใจ