บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1602 คุณธรรมแห่งตระกูลหยวน
หยวนชิงหลิงกลับวังพูดเรื่องนี้กับเจ้าห้า เจ้าห้าเอ่ย “ที่จริงกลับมาสักครั้งก็ไม่เป็นไรกระมัง? ถึงจะแค่เดินในเมืองหลวงสักรอบก็เถอะ”
“ตอนส่งเด็กๆ ไป ฮ่องเต้ฮุยจงก็เศร้าใจอยู่บ้าง บอกว่าชาตินี้คงไม่ได้กลับมาอีก ตอนนั้นข้ามอบก้อนหินให้เขาก้อนหนึ่ง เขาถืออยู่ในมือ ยังร้องไห้ด้วยแน่ะ”
“น่าสงสารจริง!” เจ้าห้าสงสารเสด็จปู่ทวด แต่คิดแล้วก็เอ่ยอีก “แต่ข้าว่าที่เสด็จลุงมิให้เขากลับก็คงมีเหตุผลกระมัง? เพราะเราต่างไม่รู้จักเสด็จปู่ทวดดี ก็แค่ที่เรากลับไปเยี่ยมเยียนเขาสองสามครั้ง ด้วยนิสัยหลุดโลกของเขา ทำให้เรารู้สึกอย่างกับจะก่อเรื่องอย่างนั้นแหละ”
“ก็จริง” หยวนชิงหลิงก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน โดยเฉพาะตอนที่โทรศัพท์ เสียงปีศาจเข้าทรมานโสตหู น่ากลัวจริงๆ
“ที่บ้านยังปกติไหม? สุขภาพท่านพ่อท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง? น้าชายมีนางในดวงใจแล้วหรือ? การเรียนของซาลาเปาล่ะ?” เจ้าห้าถาม
“ที่บ้านปกติดี สุขภาพพ่อแม่ก็ใช้ได้ แต่พ่อความดันสูง กินยาระงับเป็นเวลานาน พี่ยังไม่มีนางในดวงใจ มิได้ข้ามเส้นเลื่อนขั้นกับฟางหวู ส่วนซาลาเปาก็มิต้องเป็นห่วง ปีหน้าก็กลับมาได้แล้ว”
“ดีจริง!” หยู่เหวินเห้าดีใจมาก เขารู้ความสามารถของซาลาเปาดี กลับมาแล้วก็ช่วยจัดการงานราชกิจบ้านเมืองได้
แม้ไม่แน่ว่าจะแบ่งเบาภาระเขาได้มากมาย แต่นั่นก็เป็นความหวัง ความหวังมักสวยงามเสมอ
“โรคของท่านยายชิวควบคุมได้แล้วหรือยัง?” หยู่เหวินเห้าถามอีก
“ตอนนี้อาการยังดีอยู่ มีชีวิตชีวาขึ้นมาก ขอเพียงไม่ดื้อยา เช่นนั้นโดยรวมก็ไม่ค่อยมีปัญหา” หยวนชิงหลิงตอบ
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “หวังว่าพวกเขาจะแข็งแรง”
คนทั่วไปมักถูกคนที่หอจัยซิงทำให้ประทับใจง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาที่เป็นฮ่องเต้เป่ยถัง
“กวากวาส่งจดหมายมาหรือยัง?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
“ส่งมาแล้ว เจ้าดูสิ!” หยู่เหวินเห้าล้วงจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ ยับยู่ยี่ เป็นกระดาษที่พิราบสื่อสารส่งมา ตัวอักษรมีไม่มาก ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
หยวนชิงหลิงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ไยเจ้าต้องซ่อนไว้ในแขนเสื้อด้วย?”
“สะดวกดูได้ตลอดเวลา!” หยู่เหวินเห้าหัวเราะพลางเอ่ย
หยวนชิงหลิงเปิดออกอ่าน กวากวาบอกว่าการก่อสร้างใหม่ราบรื่นดี เงินของแม่นางเจ็ดก็เพียงพอมาก นางสบายดี ปลอดภัยทุกอย่าง สุดท้ายก็ทักทายทุกคน
กวากวามักทำงานได้ดีทุกด้าน ลำบากเด็กคนนี้จริงๆ
“นางเก้าขวบแล้ว!” จู่ๆ หยู่เหวินเห้าก็พูดขึ้นอย่างเศร้าสร้อย
“ใช่ เก้าขวบแล้ว” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าหลายปีนี้ช่างผ่านไปไวเหลือเกิน เมื่อก่อนหวังแต่จะให้เด็กๆ โตไวๆ ตอนนี้กลับหวังให้พวกเขาโตช้าหน่อย
“จริงสิ” ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา หันไปพูดกับหยวนชิงหลิง “วันนั้นข้าคุยกับใต้เท้าทัง เขากับแม่นางเจ็ดแม้จะแต่งงานกันแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้ร่วมหอกัน เป็นสามีภรรยากันแต่ในนาม”
หยวนชิงหลิงชะงัก “เช่นนั้นหรือ? ทำไมเล่า?”
“เห็นว่าแม่นางเจ็ดยังมีปมในใจ ต้องรอให้ทั้งสองคนค่อยๆ คุ้นเคยกัน” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
“เช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของพวกเขา และในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว อยู่ด้วยกันไปต้องค้นพบความรู้สึกเดิมได้แน่ เจ้ามิต้องเป็นห่วง”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วง เมื่อก่อนเราอย่างกับศัตรูคู่แค้นกัน ตอนนี้ก็มิได้อยู่ด้วยกันแล้วหรือ?” หยู่เหวินเห้าหัวเราะอุ้มนางมา จากนั้นก็จุมพิตที่ริมฝีปาก
“เรื่องนี้ใต้เท้าทังพูดกับเจ้า เจ้าก็อย่าได้ให้คนอื่นรู้เป็นดี!” หยวนชิงหลิงเอ่ย
“ข้าไม่ได้บอกคนอื่น ก็แค่วันนั้นน้องเจ็ดเข้าวังมา ก็เลยเอ่ยกับเขานิดหน่อยเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงตะลึง “น้องเจ็ด? เช่นนั้นน้องเจ็ดก็ต้องเล่าให้หยวนหย่งอี้ฟังแน่ แล้วหยวนหย่งอี้ก็ต้องไปบอกอะซี่ อะซี่ก็ต้องเล่าให้สวีอีฟัง พอสวีอีรู้ เมื่อนั้นคนทั้งเป่ยถังก็รู้กันทั่วแล้ว”
หยู่เหวินเห้าเลิ่กลั่กทันที “เออ…ข้ามิได้คิดถึงจุดนี้”
เจ้าหยวนพูดได้มีเหตุผลมาก คาดว่าเวลานี้ อ๋องชินทั้งหลายในราชวงศ์คงต้องวิพากษ์วิจารณ์เรื่องทังหยางแล้วเป็นแน่ กว่าจะได้แต่งงาน กลางคืนยังไม่ได้นอนด้วยกันอีก น่าสงสารจริง
เมื่อนั้นก็รู้สึกผิดกับใต้เท้าทังขึ้นมา
และเป็นเช่นนั้นจริง ลับหลังทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ของทังหยาง
เหล่าสตรีวิพากษ์วิจารณ์ เหล่าบุรุษก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย
แน่นอนว่าจะแทรกแซงเรื่องระหว่างสามีภรรยาของคนอื่นไม่ได้ ได้แต่เชิญทังหยางไปดื่มสุรา ให้เขาใช้ความเมามายคลายทุกข์
ด้วยเช่นนี้ ทังหยางจึงดื่มไปหลายวัน ในที่สุดก็รู้ว่าทุกคนล่วงรู้ความลับเล็กๆ เรื่องนั้นของตนแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างจนใจ “ผิดที่ข้า ข้ามิควรลืมว่าพระโอษฐ์ของฝ่าบาทเก็บความลับไม่ได้”
อ๋องฉีตบบ่าเขาแล้วเอ่ย “อย่าใส่ใจเลย เรื่องนี้ฝืนไม่ได้ เจ้าใช้ความอดทนรอหน่อยก็พอ ผู้หญิงน่ะนะ บางครั้งก็ต้องเอาใจ”
ทังหยางจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่ใช่ “ตอนที่ข้าพูดเรื่องนี้กับฝ่าบาท เป็นวันที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่กี่วัน”
“อือ เรารู้ ฉะนั้นถึงคิดว่าพวกเจ้าเพิ่งแต่งงานไม่นานไง อย่ารีบร้อน”
ทุกคนต่างใช้สายตาเข้าใจมองเขา ทังหยางก็ขี้เกียจจะอธิบายด้วย
แม้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว แต่กับคนที่สนิทคุ้นเคยกับภรรยาตัวเองแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าความรู้สึกชายหญิง ที่จริงบางครั้งก็หนึ่งวันพันลี้ได้เช่นกัน
ใต้เท้าทังกลับไปบอกเรื่องนี้กับแม่นางเจ็ด แม่นางเจ็ดก็อีหลักอีเหลื่อเหมือนกัน อยากจะพูดเสียจริง “คนพวกนี้นี่ วันๆ เอาแต่ต้องเรื่องนั้นของผัวเมียคนอื่น ว่างงานจัด”
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา เรารู้ของเรา ใช้ชีวิตของเราก็พอ” ทังหยางกอดแม่นางเจ็ด สีหน้าได้ใจเล็กน้อย ใช่แล้ว! ตอนแรกฮูหยินบอกว่าจะแยกกันนอนจริงๆ แต่พอบอกกับฮ่องเต้แล้ว ก็ทลายความสัมพันธ์ตึงเครียดนี้ทันที
“ก็ให้พวกเขาสงสารเจ้าต่อไปแล้วกัน มีสุรากินแน่ะ” แม่นางเจ็ดรับความขี้เหนียวของคนค้าขายมา สุราได้เปล่า ไม่ดื่มก็เสียเปล่าสิ!
“ใช่ ฮูหยินพูดถูก!” ทังหยางยิ้มแย้ม
แม่นางเจ็ดถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง
ชีวิตหลังแต่งงาน ใต้เท้าทังยังยุ่งงวดเหมือนเคย แน่นอนว่าแม่นางเจ็ดยุ่งกว่า การค้าใหญ่โต ครึ่งหนึ่งกดทับอยู่บนบ่านาง แต่ดีที่ตอนนี้หยวนหย่งอี้ก็มาช่วยงานได้แล้ว หญิงตระกูลหยวนมีมาก ขุนศึกก็มีเป็นกอง แต่ที่รู้หลักการค้ากลับมีเพียงฮูหยินสองท่านนี้เท่านั้น ดังนั้นฮูหยินทั้งสองจึงยุ่งมาก
ภายหลังเหล่าไท่จวินบอกว่าการค้าทำพอประมาณก็พอ ไม่ต้องกำไรให้มาก พอควรก็ขายได้ ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตดีหน่อยเถอะ
จากนั้นแม้ว่าตระกูลหยวนจะขายเท่าไร ท่านชายสี่ก็รับได้หมด แน่นอนว่าตระกูลหยวนก็ไปเทียบราคาได้
เวลานี้กำลังหลักของตระกูลหยวนกลับอยู่ที่เมืองโร่ตู พัฒนาเขาตู๋ซาน
ทางนั้นนอกจากจะทิวทัศน์ดี ทั้งยังเป็นชายแดน เหล่าไท่จวินตระกูลหยวนคิดจะย้ายศูนย์ตระกูลไปที่นั่น ฉวยตอนที่ตระกูลหยวนยังมีขุนศึกหญิงที่ยังพอสู้รบได้ ไปป้องกันแคว้นอยู่ชายแดน ส่วนการค้าในเมืองหลวงเหล่านั้นก็ยกให้แม่นางเจ็ด หยวนหย่งอี้กับอะซี่ ให้พวกนางดูแลไป
หยู่เหวินเห้าย่อมยกมือสองข้างเห็นด้วยอยู่แล้ว บุตรีเขาก็อยู่ที่นั่น คนไปยิ่งมากก็ยิ่งดี เขาจะได้วางใจ
เขาบอกกับเหล่าขุนนางในราชสำนัก ความรุ่งเรืองสันติสุขได้มายากนัก รู้จักคำนึงถึงภัยในยามรุ่งเรืองสงบสุขได้ ตระกูลหยวนเป็นยอดขุนศึกของเป่ยถังจริงๆ
คำพูดนี้เป็นที่ประทับใจของเหล่าขุนนางมาก เพื่อเป่ยถังแล้ว เสียผู้ชายไปกว่าครึ่ง ขุนศึกหญิงก็มิเคยลืมชะตาของตน ปกป้องเป่ยถังต่อ ตระกูลหยวนสมกับที่เป็นตระกูลบุกเบิกบ้านเมืองจริงๆ เพื่อเป่ยถัง คนหลายรุ่นบุกฝ่าฟันไม่หยุดหย่อน น่ายกย่องยิ่งนัก