บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1604 สะใภ้ในอนาคต
สนามเลี้ยงสัตว์มีม้าศึกเพิ่มมาชุดหนึ่ง ดีกว่าเมื่อก่อน หยู่เหวินเห้าอยากไปดูกับจิ้งถิงเสียเดี๋ยวนี้
ด้วยจิตใจเด็กน้อยที่อยากโอ้อวด
จิ่นหนิงจวิ้นจู่หัวเราะพลางเอ่ย “ยากนักที่ฝ่าบาทจะมีจิตใจเหมือนครั้งยังหนุ่มนะเพคะ ยากจริงๆ”
หยวนชิงหลิงแปลความหมายของคำพูดนี้ ‘ไยผู้ชายของท่านเป็นเยี่ยงเด็กน้อยเช่นนี้นะ?’
อดหัวเราะเย้ยเป็นไม่ได้ “ก็ผู้ชายนี่นะ บางครั้งก็เหมือนเด็กเสียจริง”
จิ่นหนิงจวิ้นจู่เห็นด้วยจากใจ “เช่นนั้นจริงเพคะ ปกติเหมือนเด็ก แต่ยามที่ต้องการพวกเขาก็มักพบว่าพวกเขามีความสามารถน่าตกใจ แบกรับภาระของครอบครัว บ้านเมือง ทรงว่าจริงไหมเพคะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะเอ่ย “เป็นเช่นนั้นจริง”
พวกผู้ชายควบม้าไป หยวนชิงหลิงกับจิ่นหนิงจึงพูดคุยกันอยู่ในตำหนัก ทิ้งให้ต้าโถวเบื่อหน่าย หยวนชิงหลิงจึงให้เหล่าชายาทั้งหลายพาลูกๆ เข้าวัง กลุ่มผู้หญิงสนทนา ลูกๆ ก็จะได้เล่นสนุก
อาคันตุกะสำคัญแห่งต้าโจวมา ย่อมต้องต้อนรับขับสู้อยู่แล้ว ดังนั้นเหล่าชายาจึงพาลูกๆ เข้าวังมาด้วย
ที่จริงที่อายุไล่เลี่ยกับต้าโถวก็มีเพียงไม่กี่คน บ้านหรงเยว่สองคน หยวนหย่งอี้คนหนึ่ง แต่ก็อายุน้อยกว่าต้าโถว ดีที่ไม่มีเพื่อนเล่น เด็กหน่อยก็ยังพอแก้ขัด
ต้าโถวเป็นลูกโทน ค่อนข้างเอาแต่ใจ แล้วยังเหมือนกับพี่หญิงหยวนลูกสาวของหรงเยว่อีก นิสัยนี้ก็ได้มาจากหรงเยว่ จิตใจดุดันแข็งกร้าว
กอปรกับเรียนยุทธ์กับมารดา อยู่ในช่วงอวดดีพอดี ถกเถียงกับต้าโถวไม่กี่คำก็ลงไม้ลงมือ
ต้าโถวไม่ตอบโต้ ยืนให้นางต่อยไปสองสามหมัด ต่อยจนใบหน้าเขียวบวมก็เอาแต่กัดฟันทน
ปกติพี่หญิงหยวนประลองฝีมือในสำนักเหลิ่งหลัง คนอื่นต่างตอบโต้ ไม่เคยเจอคนโง่ที่ยืนทื่ออยู่กับที่ ปล่อยให้นางชกเช่นนี้
ครั้นเห็นใบหน้าของต้าโถวบวมขึ้นมา นางก็ชะงัก “เจ้า…ไยเจ้าไม่สู้?”
ต้าโถวเอ่ยด้วยโทสะ “ข้ายังจะตอบโต้ผู้หญิงได้หรือ?”
“เจ้าก็โง่จริง ไม่สู้ก็หลบได้นี่!” พี่หญิงหยวนเอ่ย
“หากข้าหลบ หมัดของเจ้าก็ต้องถูกกับต้นไม้ ผิวต้นไม้หยาบกระด้าง!”
ว่าแล้วต้าโถวก็จากไป ไม่เล่นกับคนที่เอะอะก็ลงไม้ลงมือ
พี่หญิงหยวนมองต้นไม้เบื้องหลังเขาอย่างประหลาดใจ ผิวต้นไม้หยาบกระด้างจริง หากชกไปสุดกำลัง หลังมือของตนก็ต้องบาดเจ็บแน่
หรงเยว่เลี้ยงลูกมิได้เอาใจ เข้มงวดมาก แม้นิสัยเอาแต่ใจจะเหมือนนาง แต่ส่วนลึกจิตใจกลับไม่อาจเปลี่ยน
แต่พี่หญิงหยวนก็ยังรู้จักดีชอบ แม้นางจะไม่รู้ความเท่าเจ๋อหลาน แต่กลับแยกผิดชอบชั่วดีได้ รู้ว่าต้าโถวยอมให้นาง ดังนั้นถึงปากจะว่าเขาโง่ แต่ในใจกลับนับถือพี่ชายผู้นี้มาก
หยู่เหวินเห้ากับจิ้งถิงไปขี่ม้า หลังจากทดสอบม้าศึกที่พยศที่สุดในสนามม้าแล้ว ทั้งสองก็รู้สึกหนำใจมาก ให้คนนำสุรามาสองกา นั่งบนเสื่อหญ้าที่พื้น ดื่มด้วยกัน
พูดเคยเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างประสบในหลายปีนี้ ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันรู้สึกสะท้อนใจที่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จิ้งถิงชื่นชมลูกๆ ของหยู่เหวินเห้ามาก โตกันหมดแล้ว รู้จักแบ่งเบาภาระของบิดา
หยู่เหวินเห้าจึงลวดเอ่ย “พูดถึงเรื่องเด็กๆ โต ในเทียบเจ้าบอกว่าอยากหาคู่ครองให้ต้าโถว เรื่องนี้มิเร็วไปหน่อยหรือ?”
จิ้งถิงหัวเราะเล็กน้อย “สุดแต่วาสนาพ่ะย่ะค่ะ เหมาะสมก็หมั้นหมายไว้ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบแต่งงาน หญิงดีหายาก”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะเสียงหนึ่ง “ใช่ เป็นเช่นนั้น”
มิใช่ว่าหายากหรือ? สำหรับเขาแล้วก็คือเด็กสาวที่ดีที่สุด
“เช่นนั้น…ท่านมีแบบที่ชอบหรือไม่” หยู่เหวินเห้าถามหยั่งเชิง
“มิมีพ่ะย่ะค่ะ เขาชอบก็พอ” จิ้งถิงมองแววตาตะลึงของเขา จากนั้นก็หัวเราะพลางเอ่ย “เวลานี้ต้าโถวอยู่ในกองทัพ ต่อไปโอกาสจะได้เจอหญิงสาวก็น้อย อีกทั้งมารดาของเขายังไม่เก่งเรื่องคบค้าสมาคมกับบรรดาฮูหยินอีก กระหม่อมคิดว่าจะพาเขามาเปิดหูเปิดตาที่เป่ยถังสักหน่อย แล้วดูว่ามีที่ถูกชะตาหรือไม่ แน่นอน ไม่จำเป็นต้องหาที่เป่ยถังพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรก็คำเดิม สุดแต่วาสนา”
หยู่เหวินเห้าเห็นเขาไม่พูดถึงกวากวาจึงเบาใจลงหน่อย ดูท่าเขากับจิ้งถิงจะคิดเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องเกี่ยวดองจึงไม่พูดถึงอีก
แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงและจวิ้นจู่อยู่ในเมืองหลวงครึ่งเดือน สองสหายมีเวลาว่างก็ไปขี่ม้า ในกองทัพ ปีนเขา ดูชีวิตความเป็นอยู่พสกนิกร
ต้าโถวกับเด็กๆ ก็เล่นกันสนุกมาก สองวันแรกยังเอาแต่บ่นถึงพวกซาลาเปา แต่ตอนนี้กลับไม่คิดถึงพวกเขาแล้ว
เขากับพี่หญิงหยวนก็ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อย และกลับเป็นว่าทั้งสองสนิทกันที่สุด เกมอะไรก็มักเล่นด้วยกัน
ครึ่งเดือนให้หลัง ก่อนจิ้งถิงจะอำลา ก็บอกกับหยู่เหวินเห้าว่าบางทีอาจหาสะใภ้ได้แล้ว แต่ต้าโถวต้องรอสะใภ้เขาเติบโตก่อน
หยู่เหวินเห้าตะลึงงัน “ผู้ใดหรือ?”
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ยังไม่แน่นอน บอกแล้วหากไม่เป็นเช่นนั้นจะเสียความรู้สึกได้” แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงหัวเราะพลางเอ่ย
“ระหว่างเรายังมีอะไรพูดไม่ได้อีกหรือ?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าตอนนี้ก็เสียความรู้สึกแล้ว
จิ้งถิงพูดแหย่ “เกรงว่าพูดออกมาแล้ว พระองค์จะร้อนพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
จิตใจหยู่เหวินเห้าระส่ำระสาย “ตอนนี้ข้าก็ใจร้อนมากอยู่แล้ว”
จิ้งถิงหัวเราะชอบใจ มือเหล็กตบบ่าเขา “วางพระทัยเถอะพ่ะย่ะค่ะ มิใช่กวากวา กวากวาเป็นลูกสาวกระหม่อม จะเป็นสะใภ้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นครั้งที่มีชายอื่นพูดว่ากวากวาเป็นลูกสาวของเขา หยู่เหวินเห้ามิได้รู้สึกแย่ ทั้งยังดีใจมากอีก
แทบจะยิ้มจนปากฉีก “ใช่ เจ้าพูดถูก กวากวาก็เป็นลูกสาวของเจ้าเหมือนกัน ลูกสาวคนดีของเรา”
ครั้นจิ่นหนิงจวิ้นจู่ได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ เอ่ยกับหยวนชิงหลิง “ดูท่า…เราถึงจะเป็นส่วนเกินนะเพคะ”
“เห็นด้วยยิ่งนัก!” หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างจริงจัง
“ต่อไปคงมิได้พบกันบ่อยอีก แต่ปีละหนก็ยังดีนะเพคะ!” จิ่นหนิงจวิ้นจู่ยื่นมือสวมกอดหยวนชิงหลิง “เฮ้อ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ยังไม่ทันได้พูดคุยกับพวกท่านดีให้หนำใจเลย พริบตาเดียวก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันเสียแล้ว หวังว่าปีหน้าจะได้เจออีกครั้งจริงๆ”
“ต่อไปก็เปลี่ยนเป็นพวกเราไปหาพวกท่านบ้าง อยากเห็นกระบี่มังกรที่พวกท่านเฝ้ากันว่าหน้าเป็นอย่างไร” หยวนชิงหลิงกอดนางกลับ ความรู้สึกของทั้งสองแม้นไม่รุนแรง แต่ก็มีความคุ้นเคยที่รู้จักกันนาน อาลัยอาวรณ์
“เพคะ ยินดีต้อนรับฝ่าบาทและฮองเฮาเสด็จมาเพคะ!” จิ่นหนิงจวิ้นจู่ปล่อยนาง ดวงตาแดงเล็กน้อย “ต้องเสด็จมานะเพคะ!”
หยวนชิงหลิงอาลัย “ไว้มีเวลาว่าง ข้าจะพาหรงเยว่กับพี่หญิงหยวนไปหาพวกท่าน”
ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้มในใจ
ครั้นส่งสหายออกเมืองไปแล้ว ระหว่างทางที่นั่งเกี้ยวกลับ หยู่เหวินเห้าก็ยังเอาแต่คิดไม่เข้าใจ “จิ้งถิงบอกว่าเจอลูกสะใภ้ถูกใจแล้ว เจ้ารู้หรือไม่”
“ช่วงที่ต้าโถวอยู่ที่นี่ เล่นกับใครมากที่สุดเล่า?” หยวนชิงหลิงย้อนถาม
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ตอนที่เด็กๆ เล่นกันข้าไม่ได้อยู่ด้วย อยู่เป็นเพื่อนจิ้งถิงตลอด”
หยวนชิงหลิงก็ทำใจให้เขาสงสัยตลอดไม่ได้ จึงหัวเราะเอ่ย “ข้าเดาว่าเป็นพี่หญิงหยวน ต้าโถวเล่นกับพี่หญิงหยวนใกล้ชิด แต่วันแรกพี่หญิงหยวนต่อยต้าโถวไปยกหนึ่ง”
“หา? พี่หญิงหยวนดุเช่นนั้นเชียว?” หยู่เหวินเห้าตะลึงหนัก เขาคิดเสมอว่าเด็กผู้หญิงเรียบร้อยมาก
“เหมือนหรงเยว่!” หยวนชิงหลิงหัวเราะเอ่ย
หยู่เหวินเห้าตรึกตรอง “ก็จริง แต่…พี่หญิงหยวนก็ดีมากนี่ ที่สำคัญที่สุดคือต้าโถวก็ไม่เลว ต่อไปเขาต้องเป็นผู้มีความสามารถของต้าโจวแน่ อยู่ที่พวกน้องหกจะยอมให้ลูกสาวแต่งไปไกลหรือไม่แล้ว”
“ไม่รีบ ยังเด็ก พอเด็กๆ โตแล้วจะพบเจอใครก็ยังไม่แน่ ทุกอย่างอยู่ที่วาสนา!”
“นั่นสิ อยู่ที่วาสนา!” กับคำว่าวาสนาคำนี้ ตอนนี้ก็สัมผัสกับตัวแล้ว