บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1605 ฮ่องเต้น้อยก็อยากแต่งงาน
หนาวร้อนผ่านพ้นไป ในปีที่เจ๋อหลานอายุสิบเอ็ดปี ซาลาเปาก็กลับมา
จากบ้านแต่ยังเล็ก บัดนี้กลับมาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยแล้ว หากนับอายุแบบจีนโบราณ เจ้าแฝดสามก็อายุสิบเจ็บปีแล้ว
เขาขอราชโองการไปสั่งสมประสบการณ์ในกองทัพก่อน ตอนนี้ชายแดนไม่มีการศึก แต่กำลังแคว้นก็ยังต้องอาศัยการทหารที่มั่นคงเป็นฐาน ดังนั้นประสบการณ์ในกองทัพจึงสำคัญอย่างยิ่งยวด
หากต้องการนั่งบัลลังก์อย่างมั่นคง อันดับแรกต้องได้ใจและการปกป้องจากทหารก่อน
หยู่เหวินเห้าเห็นด้วยกับวิธีการของเขามาก ให้เขาไปเป็นทหารเล็กๆ ในกองทัพ บ่มเพาะความรู้สึกเป็นเจ้าของบ้านเมือง
ทางเมืองโร่ตู การสร้างฐานใหม่สำเร็จแล้ว ได้ใจประชาชน ก็รอแต่ปล่อยให้พัฒนาอย่างอิสระเท่านั้น ตอนที่ท่านชายสี่กับหงเย่มา ก็ทิ้งเหลิ่งหมิงหยู่ให้อยู่ที่นี่ ให้หูหมิงดูแลเขา แต่เขากลับอยากจะอยู่กับพี่หญิงให้ได้ บอกว่าจะอยู่ข้างกายพี่หญิงคุ้มครองนาง
เป็นเด็กดื้อรั้น แต่ก็ปล่อยเขาไปเถอะ เมืองนี้ก็เป็นสถานที่ฝึกฝนจิตใจและปณิธานที่ดี ทั้งยังมีหูหมิงดูอยู่ บวกกับอยู่ในจวน ไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนทางแคว้นจินก็มีข่าวส่งมา บอกว่าอ๋องเจิ่นกั๋วสิ้นแล้ว ฮ่องเต้ขึ้นว่าราชการอย่างเป็นทางการ ย้ายเมืองมาอยู่ตรงที่เคยสร้างไว้ติดกับชายแดนเมืองโร่ตู เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเหลียงโจว และแคว้นจินตั้งเมืองหลวงที่เมืองเหลียงโจว
ข่าวส่งมาถึงเมืองโร่ตู เจ๋อหลานดีใจใหญ่ เอ่ยกับแม่นางโจว “ข้าว่า ใช้แร่อย่างสะดวกใจได้แล้ว ข้าคิดจะไปแคว้นจินสักหน่อย เจ้าไปเป็นเพื่อนข้า เป็นอย่างไร?”
หนึ่งปีนี้เจ๋อหลานสูงขึ้นมาก สูงกว่าแม่นางโจวนิดหนึ่ง บางครั้งแม่นางโจวยังคิด ว่าเด็กคนนี้เป็นไม้ไผ่มาเกิดหรือไร? แค่ไม่กี่วันไยสูงเป็นคืบแล้ว?
ความเป็นเด็กน้อยบนใบหน้าลดน้อยลง นิ่งสุขุมมากขึ้น ลมทรายและแดดที่เมืองโร่ตูแรงมาก ผิวขาวเนียนแต่เดิมกลายเป็นสีข้าวบาร์เลย์ที่แข็งแรง องคาพยพยิ่งงดงามกว่าเดิม ตาใสฟันขาว กิริยาสง่างามหนักแน่น
“หือ?” เจ๋อหลานเห็นนางเงียบ เอาแต่เหม่อลอยจึงถามอีกหน
แม่นางโจวดึงสติกลับ “เพคะ ได้ ได้เพคะ เราไปกัน”
“ต้องส่งเทียบไปก่อนหรือไม่เพคะ?” ข่งเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างถามขึ้น
เจ๋อหลานคิดครู่หนึ่ง “ไม่ เราปลอมตัวไปเถอะ ไปดูรอบเมืองหลวงแคว้นจินก่อน ดูสิว่าฮ่องเต้ได้อำนาจราชสำนักมาแล้วหรือยัง หากสถานการณ์ยังวุ่นวายก็รอได้อีกสักสองปี”
“เพคะ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะเพคะ เห็นว่าฮ่องเต้องค์น้อยเตรียมจะอภิเษกสมรสแล้ว หากเราจะไป ยังต้องเตรียมของขวัญนะเพคะ” แม่นางโจวเอ่ย
เจ๋อหลานใจลอยไปหน่อยหนึ่ง หนุ่มน้อยผู้นั้นจะแต่งงานแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ
แต่การชิงอำนาจจำต้องควบคุมราชสำนักไว้ การแต่งงานกับบุตรีขุนนางใหญ่เพื่อให้ฐานะมั่นคงก็เป็นวิธีที่ใช้บ่อย ไม่มีอะไรให้ประหลาดใจ
ดังนั้นจึงเอ่ยถาม “ที่อภิเษกด้วยเป็นลูกสาวขุนนางใหญ่คนไหนหรือ?”
แม่นางโจวหัวเราะ “มิใช่เพคะ เห็นว่าจะอภิเษกกับหญิงจากเมืองโร่ตูเรา จริงสิ ก็คือหญิงผู้นั้นที่หลายปีก่อนทรงส่งคนมาตามหา บอกว่านางเคยช่วยชีวิตพระองค์หนหนึ่ง ทรงจะอภิเษกกับพี่สาวของนาง”
“หา?” เจ๋อหลานหน้าตะลึงตาค้าง
ทันใดนั้นแม่นางโจวก็นึกขึ้นได้ “เจ้าหญิง ท่านก็พระนามเจ๋อหลาน หรือว่า…?”
เจ๋อหลานหัวเราะ “บังเอิญกระมัง?”
“บังเอิญ? ทรงพระนามว่าเจ๋อหลาน เคยเสด็จไปแคว้นจิน จัดอยู่ในลำดับห้าของฝ่าบาท…” แม่นางโจวเจ็บปาก เช่นนั้นที่ฮ่องเต้น้อยแคว้นจินตามหามาตลอดมิใช่เจ้าหญิงหรือ?
“แต่ตอนนี้ให้ผู้อื่นมาสวมรอยแทน ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย มิเช่นนั้นเราก็ใช้บุญคุณที่ช่วยชีวิตโน้มน้าวฮ่องเต้แคว้นจินให้ใช้แร่ด้วยกันกับเราได้แล้ว”
แต่เจ๋อหลานกลับไม่คิดเช่นนั้น การที่ช่วยเขาเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย อีกอย่างความร่วมมือของสองแคว้น คุยกันด้วยผลประโยชน์ มิใช่บุญคุณแต่หนหลัง
ดังนั้นนางจึงเอ่ยกับแม่นางโจว “เราไปครั้งนี้ก็เพื่อความร่วมมือ ทุกอย่างยึดผลประโยชน์ของสองแคว้นเป็นหลัก สำหรับเรื่องอื่นมิจำเป็นต้องพูดถึง หากการเมืองราชสำนักแคว้นจินเสถียรภาพ เราค่อยยื่นสาร ไปดื่มเหล้ามงคลของพวกเขา หากไม่คิดจะพัฒนา เช่นนั้นเราก็ไม่ไปกันแล้ว”
“งานอภิเษกของฮ่องเต้น้อยแคว้นจินคงต้องเชื้อเชิญขุนนางเป่ยถังเราไปด้วยอยู่แล้ว อย่างไรฮองเฮาของแคว้นจินก็เป็นหญิงเป่ยถังเรา ก็ถือเป็นการเกี่ยวดองกันแล้ว ใช่ไหมเพคะ?” แม่นางโจวเอ่ย
“เป็นไปได้” เจ๋อหลานไม่สนใจมาก กลับรู้สึกว่าเสด็จพ่อคงวางใจได้แล้ว เขาเห็นฮ่องเต้น้อยแคว้นจินเป็นศัตรูในเรื่องสมมุติของเขามาโดยตลอด บัดนี้ฮ่องเต้แคว้นจินอภิเษก เขาก็วางใจเรื่องหนักนี้ได้สักที
แม่นางโจวหัวเราะเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นจินจะให้ความสำคัญกับมิตรภาพเช่นนี้ ด้วยฐานะฮ่องเต้ กลับอภิเษกกับหญิงชาวบ้านเป่ยถัง เพียงเพราะบุญคุณช่วยชีวิตเท่านั้น”
เจ๋อหลานกลับไม่คิดว่าแค่ตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต ฮ่องเต้น้อยองค์นั้นวัยเยาว์โดดเดี่ยว อยู่กินกับพี่สาวหลานอะไรนั่นสักสองสามปี ก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดความรู้สึกต่อกัน
เพราะหากเพื่อตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิต แล้วจึงแต่งงานกับพี่สาวของนางผู้นั้น นั่นจะไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไร
น้ำเน่านิดๆ
อีกอย่าง เหตุใดเขาจึงไม่สืบความต่อ ว่าหลานอะไรนั่นเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตจริงหรือไม่ก็รับตัวนางไปเสียแล้วเล่า?
แต่การส่งคนไปทำงาน ก็มักมีคนกลบเกลื่อนปัดความรับผิดชอบให้บรรลุภารกิจ หากแต่งเรื่องปดมาหลอกเขา และถ้าเขาก็จินตนาการเสริมแต่งกับหลานอะไรนั่นอีก เช่นนั้นจะเชื่อก็ไม่แปลก
เพราะความรู้สึกของวัยรุ่นย่อมบริสุทธิ์ที่สุด
“วางใจเถอะ เราแค่ต้องการการพัฒนาเท่านั้น!” แม่นางโจวก็รวบรัดมาก เรื่องความรักไม่เหมาะกับเจ้าหญิง นางยังเด็ก ทางที่ดีอายุสิบแปดแล้วค่อยพูดเรื่องแต่งงานเถอะ
หรือไม่ก็เป็นอย่างนาง
ขณะที่เตรียมตัวออกเดินทาง เหลิ่งหมิงหยู่เห็นพี่สาวเก็บสัมภาระก็เอ่ยถาม “ท่านพี่ ทรงจะไปไกลหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ใช่ ข้าจะไปแคว้นจินสักหน่อย” เจ๋อหลานพยักหน้าแล้วเก็บของต่อ
เหลิ่งหมิงหยู่ตาเป็นประกาย “ไปเมืองเหลียงโจวหรือ? ทรงพาข้าน้อยไปด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ข้าน้อยได้ยินว่าเมืองเหลียงโจวมีคนเล่นมายากลเป็น”
“เจ้าอยากไปหรือ? ได้สิ แต่เจ้าต้องเป็นเด็กดีนะ!” เจ๋อหลานหัวเราะพลางเอ่ย
“ข้าน้อยจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” เหลิ่งหมิงหยู่รีบรับประกัน
“ได้ ไปเก็บของเถอะ พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางแล้ว”
เมื่อนั้นจึงเหลิ่งหมิงหยู่แล่นโร่กลับห้องไปเก็บของด้วยความดีใจ
แม่นางโจวเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว “จะพาเขาไปด้วยหรือเพคะ? เขายังเด็กขนาดนี้ เกรงว่าจะสร้างความวุ่นวายนะเพคะ”
“ไม่เป็นไร เด็กก็ต้องออกไปเปิดหูเปิดตาให้มาก จะประคบประหงมอยู่แต่ในจวนอย่างเดียวได้อย่างไร เช่นนั้นก็จะผิดกับจุดประสงค์ที่ใต้เท้าเหลิ่งกับท่านอาหงเย่ที่ให้เขาอยู่ที่นี่” เจ่อหลานเอ่ย
“เจ้าหญิง!” แม่นางโจวมองนางแล้วเอ่ย “ข้าน้อยรู้สึกว่าพระองค์ยังเป็นผู้ใหญ่กว่าข้าน้อยอีกนะเพคะ”
เจ๋อหลานหัวเราะซุกซน “ข้ามิได้แก่เหมือนเจ้าสักหน่อย!”
“เสียใจนะเพคะ!” แม่นางโจวหันกลับไป ฮึดฮัดเอ่ย
เจ๋อหลานรู้ว่านางว่าไปเช่นนั้น จึงหัวเราะแล้วเก็บสัมภาระต่อ เหลิ่งหมิงหยู่ฉลาดมาก ทั้งยังเรียนวรยุทธ์ได้ดี หากสามารถพาเขาออกไปดูโลกได้ นางก็จะไม่หวงโอกาสเหล่านี้
โดยเฉพาะการไปมาระหว่างสองแคว้น
งานอภิเษกของฮ่องเต้น้อยแคว้นจิน เทียบเชิญส่งไปถึงเมืองหลวงเป่ยถัง และอยู่ในมือของเจ้าห้าแล้ว
นาทีที่เห็นเทียบเชิญ เจ้าห้าก็โพล่งด่า “เจ้าเด็กไร้ศีลธรรม กลับจะแต่งงานเสียแล้ว อายุเท่าใดเชียว? นี่มิใช่แค่สิบหกหรือ? เพิ่งกุมอำนาจบ้านเมืองได้ก็กล้าแต่งงาน ยังจำคำมั่นที่ให้กับกวากวาตอนนั้นได้หรือเปล่า?”
หยวนชิงหลิงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ฮ่องเต้เขาจะแต่งงานยังต้องให้เจ้ายุ่งหรือ? หรือว่าถูกใจเขาจริง? อยากได้มาเป็นลูกเขย?”
“เงียบไปเลย! อย่าเอ่ยเช่นนี้ เรื่องนี้จะพูดออกมาไม่ได้!” เจ้าห้าตกใจหนัก แทบจะรุดหน้าไปอุดปากนาง
“เช่นนั้นเจ้ายังด่าทออยู่อีก” หยวนชิงหลิงหัวเราะจนปวดท้อง เป็นพ่อที่ขัดแย้งจริงๆ
“ข้ามิอยากได้เขามาเป็นเขย แต่ก็ไม่อุปสรรคให้ข้าด่าเขาต่อ” หยู่เหวินเห้าพึมพำ “อย่างไรก็ต้องส่งคนไป เช่นนี้แล้วกัน มู่หรู เจ้าส่งจดหมายไปเมืองเจียงเป่ย ให้พี่สามกับพี่สี่ไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!” มู่หรูกงกงออกไปเตรียมเครื่องเขียนทันที