บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1606 เจ้าห้าเป็นไข้
หยู่เหวินเห้าถามหยวนชิงหลิงอีก “จริงสิ เจ้ามิได้มีกลุ่มอะไรนั่นกับลูกๆ หรือ? กวากวาได้พูดถึงเรื่องนี้หรือไม่?”
“เรามิได้พูดคุยเรื่องพวกนี้” หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเอ่ย
“เช่นนี้คุยอะไรกัน? ให้ข้าร่วมด้วยคนได้ไหม?” หยู่เหวินเห้าถาม
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “เกรงว่าจะไม่ได้ กลุ่มนี้เนี่ยนะ เป็นแค่ชื่อเรียก ไม่เหมือนกลุ่มโปรแกรมสื่อสารที่เจ้าได้เห็นในยุคปัจจุบันพวกนั้นหรอกนะ เป็นการสื่อสารทางจิตของเรา เจ้าเข้าร่วมไม่ได้”
“อ้อ!” หยู่เหวินเห้ารับเสียงหนึ่งแบบเรียบๆ
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาไม่พอใจเล็กๆ จึงยื่นมือกอดเขา “เจ้าทึ่ม ตอนนี้เรื่องที่ข้าคุยกับลูกๆ ก็มิได้ปิดบังเจ้า บอกเจ้าทุกอย่าง เจ้าอย่าได้ไม่พอใจสิ”
“ข้าเปล่า ข้าแค่ห่วงว่ากวากวารู้แล้วจะเสียใจหรือไม่” หยู่เหวินเห้าหัวเราะเอ่ย
“ไม่หรอก กวากวายังไม่ถึงวัยที่จะเสน่หาในตัวชาย”
หยู่เหวินเห้าก็คิดเช่นกัน แต่จิตใจผู้เป็นบิดาก็คือ คิดทุกเรื่องให้หนักเขาไว้
ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ปล่อยให้พวกเขาโบยบินอิสระ แต่กลับกลัวว่าลูกอยู่ข้างนอกจะไม่มีความสุข
เพราะการสอบขุนนางจวนจะถึงแล้ว ดังนั้นช่วงนี้เจ้าห้ายุ่งจนอ่อนล้า
แต่ไรมาสนามสอบก็เป็นสถานที่ทำทุจริต สอบเพื่อให้ได้ผู้มีความสามารถเป็นจุดประสงค์ราชสำนัก แต่ก็มีขุนนางส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นโอกาสแสวงหาความร่ำรวย
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังแย่งชิงตำแหน่งผู้คุมสอบหลักนี้อยู่
ผู้คุมสอบในปีก่อนๆ ล้วนเป็นโสวฝู่เหลิ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็จะตรวจพบว่าขุนนางคุมสอบอื่นทำทุจริต ทุกสามปีหยู่เหวินเห้าจะต้องโกรธจัดเพราะเรื่องนี้หนหนึ่ง
ปีนี้โสวฝู่เหลิ่งลั่นวาจาแล้ว ว่าต้องคัดเลือกผู้คุมสอบคนอื่น เขาจะไม่เป็นผู้คุมสอบหลักอีก
ช่วงนี้โสวฝู่เหลิ่งยุ่งกับการปรับเปลี่ยนภาษีรูปแบบใหม่ ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นผู้คุ้มสอบหลักได้ หยู่เหวินเห้าจึงเข้มงวดกับเรื่องนี้
เป่ยถังมั่งคั่งแล้ว แต่ในความมั่งคั่งก็ยังมีปัญหาของมันอยู่
พ่อค้ามากมายมีเงินก็อยากก้าวหน้าสูงอีกระดับ การเป็นขุนนางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เป่ยถังไม่มีระบบการขายตำแหน่ง ดังนั้นจึงต้องดำเนินตามระเบียบการ หากมิใช่มีความสามารถเหลือล้นได้รับการเสนอชื่อ ก็ต้องผ่านการสอบคัดเลือก เลื่อนขั้นทีละก้าว
และเพราะเช่นนี้ การซื้อตัวผู้คุมสอบจึงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ง่าย
หยู่เหวินเห้ายุ่งงวดกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงค่อยๆ ลืมเรื่องที่ฮ่องเต้น้อยแคว้นจินจะอภิเษก
เพื่อลดความกดดัน กลางคืนเขาจะไปว่ายน้ำในทะเลสาบของอุทยานอวี้ฮัว พาสวีอีไปด้วย สองคนทำการแข่งขัน และสวีอีก็เป็นผู้ชนะเสมอ
ตลอดชีวิตเขาไม่รู้จักยอมให้นายของตน
ระยะนี้หยวนชิงหลิงก็ยุ่งอยู่กับเรื่องงานวิจัย ไปมาระหว่างเป่ยถังและยุคปัจจุบัน
เวลานี้เรื่องที่นางรับผิดชอบ ก็คือเรื่องกระตุ้นเซลล์ให้เกิดใหม่ นี่จัดอยู่ในประเภทการรักษาภูมิคุ้มกัน กระตุ้นเซลล์ให้เกิดใหม่แล้วเข้าร่วมกับยาต่อต้านไวรัสและกำจัดต้นตอของโรค
โดยหลักเป็นสำหรับเซลล์ถาวร
เดิมทีเซลล์ถาวรไม่สามารถเกิดใหม่ได้อีก หากสามารถซ่อมแซมเกิดใหม่ได้ เช่นนั้นก็สามารถต่อต้านโรคได้มากมาย นี่ต่างจากการพัฒนาสมองที่นางเคยวิจัยมาก นั่นเป็นการพัฒนาสมองให้ควบคุมร่างกาย แต่นี่เป็นการรักษาโรคร้ายโดยการใช้ยา มีความแตกต่างกันของเนื้อแท้
แต่หลังจากหมดฤทธิ์ยา ความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ถาวรก็จะหมดไป จะเป็นเหมือนกับคนธรรมดา แต่ถ้าใช้ร่วมกับยาก็จะได้ผลถึงขั้นกำจัดต้นตอของโรคได้ หากใช้ตามลำพังก็ใช้ในด้านความงาม
เดิมทีหยวนชิงหลิงไม่ได้รับผิดชอบเรื่องยา แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญอีกทีมในห้องทดลองของนางรับผิดชอบ แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับประสบอุบัติเหตุหายสาบสูญ ดังนั้นหยางหรูไห่จึงให้นางรับช่วง นำทีมศึกษาต่อ
ยานี้อยู่ระหว่างการวิจัยพอดี ตอนที่กลับไปก็วางไว้ในกล่องยาจำนวนหนึ่ง นำกลับมาฉีดกับหนูขาว นางทำห้องทดลองไว้ในวังห้องหนึ่ง แต่ทดลองขั้นพื้นฐานได้เท่านั้น อย่างเช่นสังเกตหนูขาวเก็บข้อมูลเป็นต้น อย่างอื่นต้องกลับไปทำที่ยุคปัจจุบัน
สองสามีภรรยาต่างคนต่างมีเรื่องยุ่ง บางครั้งยังถึงกับไม่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวร่วมกันสองสามวัน
เป็นคู่สามีภรรยายุ่งงวดที่เห็นได้ทั่วไป
หารือหลายคืน ครั้นกำหนดหัวข้อการสอบและผู้คุมสอบหลักแล้ว ก็เป็นพิธีบูชาฟ้า ขอสวรรค์ปกปักรักษา ให้การสอบคัดเลือกครั้งนี้ได้ผู้มีความสามารถเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง
แต่ขณะที่กำลังดำเนินพิธีไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ก็ถูกฟ้าคะนองแทรกกลางคัน หยู่เหวินเห้ากับขุนนางทั้งหลายเปียกปอนจนเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่บนปะรำพิธี แต่อย่างไรก็จำต้องดำเนินต่อ ครั้นจบพิธีบูชาฟ้า หยู่เหวินเห้าก็จามไม่หยุด
เมื่อกลับถึงวัง ลู่หยาก็ต้มน้ำขิงให้เขา ดื่มพรวดเดียวไปสองถ้วย เห็นเจ้าหยวนยังไม่กลับมา เขาจึงไปตรวจฎีกาที่เน่ย์เก๋อส่งมาที่ห้องทรงอักษร ปกติที่เน่ย์เก๋อยื่นมาล้วนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ เรื่องทั่วไปเหลิ่งจิ้งเหยียนจะอ่านก่อนแล้วจัดการไป
ครั้นทำงานจนถึงยามจื่อก็รู้สึกแปลกๆ วิงเวียนศีรษะเล็กน้อย มู่หรูกงกงนั่งสัปหงกอยู่ที่ธรณีประตูแล้ว เขาเอามือนวดขมับ รู้สึกไม่ไหวอีกต่อไป
ขึ้นครองราชย์มาหลายปี เขาแทบไม่เคยป่วย แต่ครั้งนี้อยู่ดึกมาหลายคืน ทั้งยังเปียกฝน แล้วยังเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูกาลอีก ไอเย็นเข้าแทรกกะทันหันจึงต้านทานไม่ไหว
แต่ยังเหลืออีกนิด ทำให้เสร็จแล้วค่อยว่ากัน
เขากระหายน้ำเล็กน้อย ขี้เกียจจะเรียกมู่หรู ดื่มชาที่เย็นแล้วไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็ทำงานต่อ เพิ่งอ่านฎีกาไปได้แพล็บเดียวก็รู้สึกวิงเวียนหนัก ลุกขึ้นมาสะดุดไปก้าวหนึ่งทำมู่หรูกงกงตื่น เขาตกใจจนรีบวิ่งเข้ามาหา “ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ?”
“มิเป็นไร ไข้หวัดเล็กน้อย ข้ากลับไปพักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
“ใต้เท้าสวี!” มู่หรูกงกงรีบตะโกนเรียก ครั้นสวีอีวิ่งเข้ามาก็เห็นใบหน้าฮ่องเต้แดง เอ่ยด้วยความตะลึง “คงมิใช่เป็นไข้กระมัง? ท่านกงกงรีบตรวจสอบเร็ว”
มู่หรูกงกงกล่าวขออภัยแล้วก็เอาหลังมืออังที่หน้าผากหยู่เหวินเห้า ตกใจเอ่ย “เป็นไข้จริงๆ รีบกลับตำหนักหาฮองเฮาเร็ว!”
คืนนี้หยวนชิงหลิงกลับไปดึกมา เนื่องจากเป็นระยะแรกในการทดลอง การสังเกตหนูขาวต้องละเอียด นางไม่มีนักศึกษาวิจัยอยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงได้แต่สังเกตการณ์เอง หลังจากฉีดเข้าหนูขาวแล้ว มันก็ร่าเริงมาหน่อย แต่กลับไม่เด่นชัด
นางคิดจะเพิ่มปริมาณอีกหน่อยกับหนูขาวที่ยังไม่ได้รับยา
เมื่อนั้นลู่หยาก็เคาะประตูอยู่ด้านนอก “ฮองเฮาเพคะ ฮองเฮา ฝ่าบาทประชวรเพคะ”
หยวนชิงหลิงเก็บของเขากล่องยา แล้วย่อส่วนเก็บในแขนเสื้อ เปิดประตูออก เห็นลู่หยาร้อนรนมาก “ทำไมหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”
“ใต้เท้าสวีกับท่านกงกงพยุงฝ่าบาทกลับมาเพคะ บอกว่าทรงเป็นไข้ วันนี้กลับมาจากพิธีบูชาฟ้าแล้วก็ตากฝน ข้าน้อยยังต้มน้ำขิงให้ฝ่าบาทเสวย แต่ดูท่าคงไม่ได้ผลเพคะ” ลู่หยาพูดอย่างร้อนใจ
พอได้ยินว่าต้องให้คนพยุงมา หยวนชิงหลิงก็ลนลาน “เจ้าเข้าไปดูหนูขาวให้ข้า มีอะไรพิเศษก็มาบอกข้าทันที”
ลู่หยารับไปคำหนึ่ง รู้ว่าฮองเฮาให้ความสำคัญกับหนูขาวมาก ไม่กล้าละเลย ดังนั้นจึงเข้าไปทันที
ครั้นหยวนชิงหลิงกลับถึงตำหนักเสี้ยวเยว่ มู่หรูกงกงก็ร้อนใจยกใหญ่แล้ว เอาแต่พูดเรื่องที่ฮ่องเต้นอนดึก บ่นจนหยู่เหวินเห้ารำคาญเล็กน้อย ห่มผ้าแล้วก็ให้สวีอีไล่ออกไป
แต่หยวนชิงหลิงกลับมาพอดี มู่หรูกงกงจึงเบาใจ “ฮองเฮาทรงรีบเข้าไปดูฝ่าบาทเถอะพ่ะย่ะค่ะ ตัวร้อนแล้ว”
หยวนชิงหลิงพยักหน้ารับคำ “อย่าเพิ่งร้อนใจ ท่านกงกง ข้าจะไปดูก่อน”
หยู่เหวินเห้าเลิกผ้าห่ม มองหยวนชิงหลิงอย่างหม่นหมอง “ไม่เป็นไร เขาร้อนใจไปเอง”
หยวนชิงหลิงยื่นมือแตะหน้าผากเขา สะดุ้งโหยง “ตัวร้อนขนาดนี้เชียว?”
นางเอากล่องยาออกมา หยิบปรอทวัดไข้ออกมาวัดอุณหภูมิให้เขา