บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1615 ในที่สุดก็หาเจ้าพบ
หลังจากหยวนชิงหลิงกลับถึงห้องพักผู้ป่วย ก็เรียกสวีอีออกมาถาม
ตอนนั้นสถานการณ์เร่งด่วนมาก คิดไม่ออกว่าสวีอีหยิบยานั้นได้อย่างไร และคิดไม่ถึงว่าจะเป็นปัญหาจากกล่องยานั้น
“ยาเข็มที่สอง เจ้าหยิบมาจากไหน?” หยวนชิงหลิงเปิดกล่องยาออก ถามสวีอี
สวีอีมองกล่องยา ชี้ชั้นที่สอง “ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ แล้วยังบรรจุยาไว้ด้วยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่หัวเข็มมีจุกอยู่”
หยวนชิงหลิงจำได้ว่ายาของตนวางไว้ชั้นที่สาม เพราะชั้นที่สามจะย่นเองได้ ยาที่ไม่ใช้แค่ปิดฝากล่องก็จะหายและลงไปอยู่ด้านล่างอัตโนมัติ
ส่วนชั้นที่สองจะวางยาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ยัดจนเต็มแน่น เป็นไปไม่ได้ที่จะวางเข็มฉีดยาลงไป
แถมกล่องยานี้ก็ใช้มาสิบกว่าปีแล้ว กลายเป็นความเคยชิน ยาอะไรวางตรงไหน การเคลื่อนไหวของมือเร็วกว่าสมอง
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะวางผิดที่ และถึงจะวางผิด กล่องยาก็จะมีฟังก์ชันแยกแยะยาอันตรายเอง สรุปคือยาเข็มนั้นไม่มีทางปรากฏตรงหน้าสวีอีแน่นอน
ครั้นสวีอีเห็นสีหน้านางตึงเครียดเช่นนี้ ก็นึกว่าอาการป่วยของฮ่องเต้กำเริบอีก นั่งยองปิดหน้าร้องไห้โฮอยู่ที่มุม วันนี้อดกลั้นมาทั้งวัน ตอนนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
พอเขาร้องไห้เช่นนี้ก็ทำเอาหยวนชิงหลิงตกใจหนัก รีบถาม “เป็นอะไรไป? เจ้าคงไม่ได้ให้เขากินยาอะไรเข้าไปอีกกระมัง?”
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ…” สวีอีตาแดง มองหยวนชิงหลิงด้วยผมเผ้ารุงรัง “ฮองเฮา หรือว่าฝ่าบาทยังไม่หายประชวรพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมทำให้ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ วงจรตอบสนองฉับพลันของสวีอีนานจริงๆ จึงหัวเราะเอ่ย “เพ้อเจ้อ ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากทำความเข้าใจให้กระจ่าง เจ้าอย่าคิดมาก ตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว มีแต่ปัญหาเล็กๆ เท่านั้น ยังต้องตรวจสอบอีกหน่อย”
สำหรับสวีอี ก็ได้แต่พูดปลอบใจ มิเช่นนั้นด้วยนิสัยปากรั่วของเขา หากพูดมากไปนิด ก็ต้องไปร้องไห้ต่อหน้าเจ้าห้าแน่
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? ทรงมิได้หลอกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีสะอึกสะอื้น มองหยวนชิงหลิงตาปริบๆ
“จริงสิ เอาล่ะ เจ้าไปล้างหน้าเถอะ อย่าให้เจ้าห้าได้เห็นเจ้าร้องไห้” หยวนชิงหลิงเอ่ย
สวีอีเช็ดน้ำตา “ทรงหลอกกระหม่อมไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องอะไรก็ต้องบอกกระหม่อม หากฝ่าบาทไม่ไหวแล้วจริงๆ กระหม่อมก็จะตายตามไปด้วย แต่ก่อนหน้านั้นต้องให้อะซี่กับลูกอยู่สบายก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ถีบเขาไปทีหนึ่ง “พล่ามอะไร? ออกไปล้างหน้า!”
สวีอีเช็ดหน้า ออกไปแบบไม่ค่อยวางใจ
ผลการตรวจล่าสุดออกมาแล้ว ตัวเลขต่างจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ที่ดีที่สุดก็คือสารบ่งชี้ในเลือดหายไปแล้ว
เจาะเลือดออกมาส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่ายังมีหนอนน้ำแข็ง แต่ไม่ถือว่ามีกำลังมาก
ครั้นผ่านไปสองวันก็ตรวจอีก
ตัวเลขดีขึ้น การติดเชื้อถูกควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระทั่งว่าปอดไม่มีรูหลังจากการอักเสบด้วย เพราะหลังจากกดการอักเสบของปอดได้แล้วไปเอกซเรย์ ตอนนั้นยังเห็นว่าปอดมีรูอยู่ แต่เพียงไม่กี่วันสั้นๆ ทั้งหมดกลับซ่อมแซมการดูดซับแล้ว
สถานการณ์ดีมาก
หยางหรูไห่บอกว่าออกจากสถาบันวิจัยได้แล้ว แต่ยังต้องติดตามอาการต่อ ขอมอบภารกิจนี้ให้หยวนชิงหลิง
ตอนออกจากสถาบันวิจัย หยางหรูไห่ยื่นน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง
เจ้าห้าส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้าไม่กระหาย”
“อือ งั้นก็ได้!” หยางหรูไห่วางแก้วลง เธอเคยสังเกต สองวันมานี้หยู่เหวินเห้าไม่เคยดื่มน้ำเลย หรือก็หมายถึงร่างกายของเขาดูดซับน้ำจากอากาศอัตโนมัติ แล้วนำมาใช้เอง
เขาไม่ปรากฏภาวะขาดน้ำใดๆ ในทางกลับกัน ยังจะมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อน น่าหยิกแก้มมาก
ข้อมูลตอนที่เจ้าห้ารักษา หยางหรูไห่พิมพ์ออกมาหมด ให้หยวนชิงหลิงเอากลับไป ที่โบร่ำโบราณก็ลำบากเสียจริงๆ
ก่อนกลับไป ผู้ชายสองคนก็ไปตะบี้ตะบัน ซื้อของๆ
สวีอีรับผิดชอบซื้อนมผง ฮองเฮาพูดหลายครั้งว่าโภชนาการในนมผงดีมาก ดังนั้นเขาจึงอยากซื้อกลับไปให้ลูกดื่ม
แล้วซื้อเครื่องสำอางปกป้องผิวให้อะซี่ ซื้อชุดนอนกับชุดตัวเล็กที่อยู่ข้างใน อย่างไรเจ้าสิ่งนั้นก็ให้เขาดูได้คนเดียว งามตาเหลือเกิน
ของเหล่านี้หยู่เหวินเห้ายังพอทนได้ แต่ครั้นเห็นเขาซื้อผ้าอนามัยก็อ้าปากค้าง “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะแบกของพวกนี้กลับไป?”
“คนเขลาถึงไม่เอาไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังจะซื้อหลายลัง ฝ่าบาทช่วยกระหม่อมแบกด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
หยู่เหวินเห้าถีบเขา “ข้าไม่ช่วยเจ้าหรอก ข้าจะช่วยเจ้าหยวนแบก”
หยวนชิงหลิงตามจ่ายเงินอยู่ข้างหลัง ได้ยินการสนทนาของพวกเขาแล้วก็หัวเราะ
อะซี่ไม่แต่งผิดคนจริงๆ แม้สวีอีจะธรรมดาไปหน่อย แต่ทั้งดวงใจและดวงตาบุรุษผู้นี้กลับมีนางเพียงคนเดียว
ชายธรรมดาที่อบอุ่น
หลังจากซื้อของเสร็จ สวีอีก็เอาแต่คิดบัญชี ใช้เงินของที่นี่ไปหลายพันหยวน กลับไปต้องแลกทองเท่าไรให้ฮองเฮา
รู้สึกว่าตนช่างร่ำรวยเหลือเกิน จึงซื้อเครื่องประดับเพิ่มอีกสองชิ้น ต่างหูคู่หนึ่งกับกำไลทองวงหนึ่ง รูปแบบของที่นี่งดงามมากกว่าของเป่ยถัง
ครั้นเอ่ยถึงทางแคว้นจิน หวันเหยียนจิ่งเทียนจะแต่งงาน ทูตบ้านใกล้เรือนเคียงจึงพากันมาร่วมแสดงความยินดี
เจ๋อหลานพาเหลิ่งหมิงหยู่กับแม่นางโจวไปที่เมืองเหลียงโจว
พวกนางเพิ่งเข้าเมืองเหลียงโจวมาก็มีคนไปรายงานกับฮ่องเต้จิ่งเทียนแล้ว
“ฝ่าบาท แม่นางในภาพมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ พำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยม กระหม่อมส่งคนไปจับตาดูอยู่ละแวกนั้น ไม่ได้ไปรบกวนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จิ่งเทียนนั่งอยู่ในห้องทรงอักษร ครั้งได้ยินการรายงานจากมหาดเล็กแล้ว ดวงตาหงส์ก็ยกขึ้นเล็กน้อย โฉมหน้าอบอุ่นและหล่อเหลาเป็นประกายขึ้นมาทันที “นางมาแล้ว ในที่สุดนางก็มา”
“ฝ่าบาท จะให้เข้าพบเวลานี้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ ส่งคนไปเฝ้านางไว้ อย่าให้นางคลาดสายตาของพวกเจ้า” ฮ่องเต้จิ่งเทียนรู้สึกว่าปลายนิ้วสั่นระริก กี่ราตรีแล้ว เขาเอาแต่ใจลอยเหม่อมองภาพเหมือนของนาง หวังว่านางจะยังมีชีวิตอยู่
ภาพเหมือนนี้เขาเป็นคนวาดขึ้นเอง เดิมทีเขาก็ไม่ถนัดงานพู่กัน อยากบรรยายให้นักวาดภาพฟัง แต่อีกฝ่ายกลับวาดไม่เหมือนนาง ดังนั้นเขาจึงเรียนด้วยตนเอง
สุดท้ายก็วาดคนที่เขาเฝ้าคะนึงหามาตลอดออกมาได้
เดิมคิดว่านางไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ส่งคนไปเป่ยถัง รับพ่อลูกคู่นั้นกลับมา
หญิงนามนั้นอ้างว่านางเป็นพี่สาว แต่จากใบหน้าไม่มีส่วนคล้ายเลยสักนิด ท่วงท่าสักนิดก็ไม่มี
พี่น้องร่วมอุทร เหตุใดเขาจึงไม่มีความรู้สึกคุ้นเคยเลยสักนิด? นี่ไม่น่าเป็นไปได้
เขาให้พวกเขาอยู่ในแคว้นจินก่อน แล้วส่งคนไปสืบดู มีภาพเหมือน จะหาก็สะดวกขึ้นมาก
กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง สายสืบกลับมารายงาน ว่าเจ้าเหมืองเมืองโร่ตูคล้ายคลึงกับสาวน้อยในภาพเหมือนอย่างยิ่งยวด
ดังนั้นเขาจึงสืบเรื่องเจ้าเมืองเมืองโร่ตูทันที ครั้นรู้ฐานะนาง ว่านางเป็นองค์หญิงเจิ่นกั๋วของเป่ยถัง ชื่อจริงว่าหยู่เหวินเจ๋อหลาน ชื่อเล่นกวาจื่อ หยู่เหวินเห้าฮ่องเต้เป่ยถังรักนางดั่งแก้วตาดวงใจของ ยกเมืองโร่ตูให้นาง
ส่วนหยู่เหวินเห้าฮ่องเต้เป่ยถังอยู่ในลำดับที่ห้า นางเคยบอกว่าพ่อของนางอยู่ในลำดับห้า เมื่อนั้นข้อมูลทุกอย่างก็เข้ากันได้ทันที
เมื่อก่อนเขาไม่เคยกุมอำนาจ รู้เรื่องเป่ยถังน้อยมาก บัดนี้เพื่อหานางแล้ว ก็สืบเสาะเรื่องในราชวงศ์เป่ยถังมาหมด
กระทั่งว่าหลังจากเขายึดอำนาจมาได้แล้ว ก็ใช้องครักษ์ลับอย่างมือเติบ สืบเรื่องของนางโดยเฉพาะ รวบรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของราชวงศ์เป่ยถัง เขารู้ดี หากต้องการสู่ขอแก้วตาดวงใจของฮ่องเต้เป่ยถัง ก็ต้องผ่านด่านที่ยากลำบาก
แต่ดีที่นางยังเด็ก เขายังรอนางได้อีกห้าปี สิบปี
ตั้งแต่รู้ตัวตนของนางแล้ว ข้อมูลที่เกี่ยวกับนางก็ปลัดปลิวมาราวกับเกล็ดหิมะ นางอยากขุดแร่ แต่ก็กังวล เกรงว่าอ๋องเจิ่นกั๋วจะไม่เห็นด้วย
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้ใกล้ชิดนาง
แต่เขาไม่ทำ รอก่อน เพราะเขายังต้องมีแผนการ
ดังนั้นจึงจัดงานแต่งงานในครั้งนี้ อันที่จริง สารแคว้นที่ไปเป่ยถังเขียนว่าเป็นงานเลี้ยงหมั้นหมาย
มิใช่งานแต่งงาน
เขาถาม “ทูตเป่ยถังมาแล้วหรือ?”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าวันสองวันนี้ ที่มาเป็นอ๋องอานและอ๋องเว่ยที่ประจำอยู่เมืองเจียงเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ดี!” หรือก็คือเสด็จลุงของนาง คนในครอบครัวตัวเอง
เขาให้องครักษ์ออกไป แล้วก็หันไปมองภาพเหมือนที่แขวนอยู่บนกำแพง สาวน้อยหน้าตาสดใส มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย มีความซุกซนนิดๆ มองเขาตาเป็นประกายอยู่อย่างนั้น
ดวงใจของเขาราวกับหยุดชะงัก เอ่ยพึมพำ “ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ”