บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1616 เข้าวัง
ตอนใหม่จะมาในอีก4-5วันข้างหน้าโปรดอนทนรอ
ตั้งแต่เมืองเหลียงโจวกลายเป็นเมืองหลวงของแคว้นจิน ก็เติบโตพัฒนาไปมาก อีกทั้งแคว้นจินกับเป่ยถังยังเปิดการเชื่อมต่อมิตรภาพ ดังนั้นจึงมีประชาชนเป่ยถังจำนวนมากมาทำการค้าที่นี่
ก่อนหน้านี้เจ๋อหลานเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็เป็นตอนที่ส่งศีรษะตัวเองตอนนั้น แต่เวลานั้นเมืองเหลียงโจวยังไม่มีคนเป่ยถังมากเหมือนปัจจุบัน ดังนั้นหลังจากเจ๋อหลานเข้าที่พักแล้ว ก็พาแม่นางโจวกับเหลิ่งหมิงหยู่เดินบนถนน ทำความเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของเมืองเหลียงโจว
ที่นี่ อย่างไรก็เป็นเมืองหลวงของแคว้นจิน
ก่อนที่อ๋องเจิ่นกั๋วจะลงจากตำแหน่ง การปกครองบ้านเมืองก็ถือว่ามีผลงาน อย่างน้อยก็ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาตลอด เสียแต่ความทะเยอทะยานมีมาก เอาแต่อยากได้เมืองโร่ตูกลับคืนมา
แต่ความทะเยอทะยานนี้ ก็ยังเกรงกลัวเป่ยโม่ ไม่กล้าแข็งข้อ
หลังจากจิ่งเทียนขึ้นบัลลังก์ นอกจากทรัพยากรการผลิตแร่เดิม ยังคิดบุกเบิกการเพาะปลูกไร่นาในเขตภูเขา ทางตะวันตกเฉียงเหนือแคว้นจินมีพื้นที่ และเหมาะแก่การเพาะปลูก ทว่าผู้คนเบาบาง ดังนั้นเขาจึงเลียนแบบหัวเมืองอื่นของเป่ยถัง ให้คนไปบุกเบิก และให้ผลประโยชน์กับพวกเขาเหล่านั้น
เมื่อสถานการณ์ของแคว้นไปในทางที่ดีขึ้น ก็มักมองออกได้ง่าย ความกระตือรือร้นของทั้งชนเผ่านั้นเก็บซ่อนไม่อยู่
เจ๋อหลานรู้สึกว่าจิ่งเทียนเหมาะจะเป็นฮ่องเต้มาก แคว้นจินที่เขาเป็นผู้นำ ต้องพัฒนาได้รวดเร็วแน่นอน
รู้จักพัฒนานั้นดีที่สุด เขาน่าจะเห็นด้วยกับการใช้ทรัพยากรแร่ร่วมกัน
ทันใดนั้นเจ๋อหลานก็มีความมั่นใจ
นางไม่รีบร้อนเข้าวังขอพบ แต่ทำความเข้าใจกับทัศนคติประชาชนเมืองเหลียงโจวที่มีต่อเป่ยถังก่อน
เพราะก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองโร่ตูกับเมืองเหลียงโจวค่อนข้างตึงเครียด หลายปีก่อน แคว้นจินส่งคนเข้าแทรกซึมเมืองโร่ตูตลอด วางแผนจะทำให้เกิดจลาจล ประชาชนเมืองโร่ตูจึงเกลียดในจุดนี้
แต่ด้วยการติดต่อระหว่างกันในสองปีนี้ ความแค้นนี้ก็มีลางว่าจะเบาบางลง
ทางเป่ยถังไม่มีปัญหา ก็ดูว่าทางประชาชนเมืองเหลียงโจวจะคิดอย่างไร
ดังนั้น ขณะที่เจ๋อหลานกำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ ก็มักพูดคุยกับเหล่าหาบเร่แผงลอยและร้านค้า ถามความคิดเห็นพวกเขาเกี่ยวกับเมืองโร่ตูของเป่ยถัง
จุดที่ทำให้เจ๋อหลานรู้สึกปลื้มใจ ก็คือราชสำนักแคว้นจินติดป้ายประกาศอยู่เสมอ บอกว่าเดิมทีพวกเขากับเมืองโร่ตูก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แม้เมืองโร่ตูจะถูกเป่ยโม่ชิงไปเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ภายหลังเป่ยถังก็ชิงมาจากเป่ยโม่ ถือว่าช่วยแคว้นจินแก้แค้นแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ประชาชนทั้งสองมาจากรากเหง้าเดียวกัน
ดังนั้นเมืองเหลียงโจวจึงเป็นมิตรกับเมืองโร่ตูมาก
เจ๋อหลานรู้สึกว่าการที่ฮ่องเต้จิ่งเทียนติดป้ายประกาศเช่นนี้ฉลาดมาก เพราะตอนนั้นเมืองโร่ตูถูกคนเป่ยโม่ยึดไปจริงๆ ไม่เกี่ยวกับเป่ยถัง และเป่ยถังก็ชิงเมืองโร่ตูมาจากมือเป่ยโม่ ก็นับว่าช่วยพวกเขาแก้แค้น
เช่นนี้ ประชาชนของทั้งสองเมืองก็จะมีไมตรีที่ร่วมเกิดจากต้นน้ำเดียวกัน ไม่ถึงกับเกิดเป็นความแค้นอีก
ขณะเดียวกันยังทำให้เป่ยถังได้ประโยชน์มากอีก เพราะแม้เวลานี้ประชาชนเมืองโร่ตูจะมีใจให้ราชสำนักแล้ว แต่สำหรับความรู้สึกในฐานะของตน มากน้อยก็ยังติดอยู่กับเป่ยโม่ คิดว่าหากตนเชื่อราชสำนักเป่ยถังมากเกินไป จะเป็นการทรยศต่อบรรพบุรุษของตน
แต่เมื่อตอนนี้แคว้นจินว่าอย่างนี้ รอให้ประชาชนป่าวประกาศเผยแพร่ออกไป ประชาชนของเมืองโร่ตูก็จะไม่มีสายใยกับเป่ยโม่อีก
เจ๋อหลานเอ่ยกับแม่นางโจว “คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นจินเลินเล่อเช่นนี้แล้ว กลับเป็นการช่วยเราเสียอีก”
แม่นางโจวก็สะท้อนใจมากเหมือนกัน “ข้าน้อยอยู่ที่เมืองโร่ตูหลายปีขนาดนี้ ก่อนที่ปฏิรูปก็ชักจูงความคิดของพวกเขาได้ลำบากมากเพคะ ตอนนี้ดีเลย พวกเขาจะได้ไม่ฝันเฟื่องลมๆ แล้งๆ อะไรกับเป่ยโม่อีก อีกสักแปดปีสิบปี หรือรุ่นคนหนุ่มเวลานี้โตขึ้นก็จะยิ่งลืมเป่ยโม่”
“ดีจริงๆ เลย” เจ๋อหลานดีใจมาก
ใจประชาชนสำคัญยิ่ง
เดินอยู่ในเมืองสองวัน เจ๋อหลานรู้สึกแปลกนิดๆ “เมืองเหลียงโจวเป็นเมืองหลวง แล้วฮ่องเต้ก็จะอภิเษก แต่ทำไมตามท้องถนนถึงไม่มีบรรยากาศคึกคักสักนิด? ท่าทางไม่เหมือนจะมีงานอภิเษกเลย”
“นั่นสิเพคะ ไม่เห็นได้ยินว่าจะมีกิจกรรมเฉลิมฉลองเลย” แม่นางโจวก็ฉงนใจมาก
“เอาไว้กลับโรงเตี๊ยมแล้วก็ลองถามดูเถอะ” เจ๋อหลานเอ่ย “ข้ารู้สึกตงิดๆ ท่าทางไม่เหมือนฮ่องเต้จะอภิเษกเลย”
“เจ้าหญิงเพคะ ฮ่องเต้อภิเษกต้องเป็นอย่างไรเพคะ?” แม่นางโจวเอ่ยถาม
เจ๋อหลานยิ้ม “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นเสด็จพ่อเสด็จแม่ข้าก็สมรสกันแล้วจึงจะขึ้นครองราชย์ หลังจากนั้นบอกว่าจะงานพิธีอีกครั้ง แต่ข้าว่าคงมิใช่งานอภิเษกใหญ่โต”
ที่จริงเสด็จพ่อมักรู้สึกว่าความเสียใจในชีวิตนี้ก็คืองานสมรสไม่เป็นดั่งที่เขาคาดหวัง แม้ว่าภายหลังจะจัดแล้ว แต่งานพิธีนั้นมักรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ตัวเอก ไม่ว่าเรื่องไหนก็ถูกคนอื่นจัดการให้พร้อมสรรพ
แต่เสด็จแม่กลับไม่มีความรู้สึกอะไร อย่างไรความคิดของพระองค์ก็เปิดกว้างมากกว่าเสด็จพ่อ การที่ทั้งสองครองรักกันมาได้ตลอด ก็เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่แล้ว พิธีการนั่นกลับไม่สำคัญ
อีกอย่างเพื่อไม่ให้เสด็จพ่อมีเรื่องค้างคาใจ ยังจัดในยุคปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง
ครั้นทั้งหมดกลับโรงเตี๊ยม แม่นางโจวก็สืบความกับเสี่ยวเอ้อ
เมื่อเสี่ยวเอ้อได้ยินว่าฮ่องเต้จะอภิเษกก็ชะงักงัน “อภิเษก? มิใช่งานหมั้นหรือ?”
“งานหมั้น? ทำไมยังเป็นงานหมั้นเล่า? ทรงถึงช่วงอายุที่จะอภิเษกแล้วนี่ ไยไม่อภิเษกไปเลย?”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว เราต่างได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะหมั้น” เสี่ยวเอ้อกล่าว
“เช่นนั้นว่าที่ฮองเฮาของพวกเจ้าเป็นคนเป่ยถังหรือ?”
เสี่ยวเอ้อตอบ “ใช่สิ เป็นหญิงเป่ยถัง ได้ยินว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพระองค์ด้วย”
ครั้นเจ๋อหลานได้ยินดังนั้นแล้ว ก็อดส่ายหน้าเป็นไม่ได้ ทำไมจึงโง่เช่นนี้? ถึงกับเชื่อนางผู้นั้นว่าเป็นพี่สาวของผู้มีพระคุณช่วยชีวิต
และถึงจะใช่ ก็มิจำเป็นต้องแต่งกับนางนี่? การแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่นหรือ?
เจ๋อหลานผิดหวังกับฮ่องเต้จิ่งเทียนมาก หวังแต่เขาจะไม่เลอะเลือนอย่างนี้ในเรื่องการปกครอง
ตอนแรกคิดว่าจะอยู่ในเมืองเหลียงโจวสองวันแล้วก็ส่งเทียบไป แต่เพราะยังไม่ถึงกำหนดการแต่งงาน ดังนั้นจึงอยู่ต่ออีกหลายวันเสียเลย จะได้ไม่ต้องเข้าวังไปเปิดเผยฐานะ
ถึงตอนนั้นถ้าเขาจำได้ว่านางถึงจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต เช่นนั้นงานเลี้ยงหมั้นหมายยังจะดำเนินต่ออีกหรือ?
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจพักอยู่ในโรงเตี๊ยมอีกสองสามวัน นอกจากจะดูชีวิตความเป็นอยู่ของเมืองเหลียงโจวแล้ว ก็ยังอยากดูว่าเมืองเหลียงโจวมีอะไรควรค่าแก่การศึกษาบ้าง
ผ่านไปอีกสองวัน วันนี้ขณะที่แม่นางโจวออกไปสืบข่าว ก็ได้ยินว่าอ๋องอานกับอ๋องเว่ยมา
ที่จริงสองวันมานี้ก็มีแขกเหรื่อจากต่างแดนมาไม่ขาดสาย เข้าที่พักอาคันตุกะ
แต่เจ๋อหลานก็ไม่เคยแสดงตัว แต่พอได้ยินว่าเสด็จลุงสามและเสด็จลุงสี่มา คืนนั้นนางก็ไปหาพวกเขาที่ที่พักอาคันตุกะ
แต่ไหนเลยจะรู้ ครั้นถึงที่นั่นกลับได้ยินว่าพวกเขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าแล้ว
เจ๋อหลานรู้สึกแปลกมาก เพิ่งจะถึงก็เข้าวัง? อย่างไรก็ต้องให้พวกเขาพักกันก่อนสิ
แต่นี่ก็แสดงว่าฮ่องเต้แคว้นจินให้ความสำคัญกับการติดต่อกับเป่ยถังมาก
เจ๋อหลานยังคงดีใจ
ละเลยความรู้สึกแปลกที่ตงิดอยู่ในใจ และพาแม่นางโจวและเหลิ่งหมิงหยู่กลับโรงเตี๊ยม
เพียงแต่เพิ่งถึงโรงเตี๊ยม ก็มีคนจากในวังมาทันที ถามแม่นางโจวอย่างนอบน้อมว่าใช่ผู้ดูแลของเมืองโร่ตูหรือไม่
แม่นางโจวประหลาดใจ “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“คือแบบนี้ วันนี้พวกท่านทั้งสามไปที่พักอาคันตุกะมีคนจำท่านได้ รู้ว่าท่านเป็นผู้ดูแลเมืองโร่ตู หลังจากกลับไปรายงานกับฝ่าบาทแล้ว ก็ทรงเชิญท่านเข้าวัง สองท่านนี้คงเป็นน้องสาวและน้องชายของท่านกระมัง? เช่นนั้นก็ขอเชิญเข้าวังไปร่วมสังสรรค์ด้วย”
คนในวังราวกับไม่รู้จักเจ๋อหลาน แต่แสดงออกกับแม่นางโจวด้วยความเคารพอย่างสูง
แม่นางโจวมองเจ๋อหลาน ใช้สายตาถามว่าจะไปหรือไม่
เจ๋อหลานพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าไป
อย่างไรฮ่องเต้แคว้นจินก็รู้ฐานะของแม่นางโจวแล้ว ทั้งยังเชื้อเชิญด้วยความจริงใจ หากไม่ไปก็จะดูไม่ไว้หน้า
ต่อไปยังต้องร่วมมือกันอีก
สำหรับนางจะถูกรู้ฐานะหรือไม่นั้น นี่ยังต้องป้องกันสักหน่อย จะได้ไม่ทำลายเรื่องมงคลของคนอื่น สวมผ้าคลุมหน้าก็แล้วกัน