บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1617 เห็นต่างหรือไม่
ทั้งสามแต่งองค์ทรงเครื่อง เจ๋อหลานใช้ผ้าคลุมหน้า แล้วขึ้นรถม้าที่ในวังจัดเตรียมให้
ช่วงเพิ่งแขวนโคมไฟ ถนนทั้งสองฟากฝั่งยังคึกคักมาก เมืองโร่ตูเทียบความรุ่งเรืองของเมืองหลวงแคว้นจินไม่ได้เลย อีกอย่างแม้ที่นี่จะเป็นเมืองหลวง แต่ก็มิได้ห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน ดังนั้นประชาชนจึงทำกิจกรรมค่อนข้างดึก
เจ๋อหลานเลิกผ้าม่านขึ้น ดูประชาชนสองฝั่งถนน บ้างรีบร้อน บ้างเอาแต่ค้าขาย บ้างก็สัญจรจอแจเข้าร้านกินอาหารดื่มสุราครึกครื้นเป็นที่สุด
มีกลิ่นอายของพลุไฟ เห็นแล้วก็ให้ผ่อนคลายยิ่งนัก
เจ๋อหลานนึกขึ้นได้ว่าไม่เจอฮ่องเต้น้อยหลายปีแล้ว สามปีผ่านไป ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร?
บางทีเขาอาจจำนางไม่ได้ เพราะสามปีมานี้นางก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน นางสูงขึ้นเยอะ ตอนนี้นางสูงร้อยหกสิบสามเซนติเมตรแล้ว ความเป็นเด็กบนใบหน้าลดลง สุขุมเป็นผู้ใหญ่มีมากขึ้น
จะไม่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ เพราะเรื่องที่ประสบในเมืองโร่ตูในช่วงสามปีนี้มีมากเหลือเกิน
ณ พระราชวังของแคว้นจิน งานเลี้ยงหมั้นหมายเริ่มขึ้นนานแล้ว แต่กลับรอบุคคลสำคัญสองคนอยู่ตลอด นั่นก็คืออ๋องอานกับอ๋องเว่ย
เมื่ออ๋องชินแห่งเป่ยถังทั้งสองมาถึง งานเลี้ยงหมั้นหมายจึงจะเริ่ม
ที่ผ่านมาเขาอยากไปพบเจ๋อหลานสักครั้ง
สามปีนี้ไม่ว่าเวลาใด เขาก็หวังแต่จะได้พบหน้านาง
คะนึงหามาสามปี ครั้นรู้ว่านางมา เขาก็รู้สึกอุ่นใจ
แต่การพบหน้าครั้งแรกสำคัญมาก เขาไม่อยากพบนางอย่างไม่มีการเตรียมพร้อม
เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี เขาไม่อาจให้นิยามความรัก เขาแค่อยากพบนางเท่านั้น เห็นว่านางมีชีวิตยืนอยู่ตรงหน้าตน
เขาเคยให้คำมั่นในวันที่เขาลำบากที่สุด ต่อไปหากเขายึดอำนาจราชสำนักมาได้แล้วก็จะสู่ขอนาง
แน่นอนว่ามิใช่เวลานี้ สาวน้อยผู้นั้นยังไม่เติบใหญ่ ยังมิอาจออกเรือน
เขาเคยบอกว่ารอได้ ต่อให้อีกสิบปี ยี่สิบปีก็ได้ทั้งนั้น
“ฝ่าบาท คืนนี้พระองค์ดูล่องลอยนะพ่ะย่ะค่ะ ทรงตื่นเต้นหรือ?” เซินกงกงที่ปรนนิบัติเขาเอ่ยถาม
“ตื่นเต้น ตื่นเต้นมาก” จิ่งเทียนสูดลมหายใจลึก “อ๋องชินทั้งสองท่านเข้าวังมาแล้วหรือ?”
“เสด็จมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขุนนางทูต ราชนิกุลและขุนนางใหญ่ก็มากันแล้วพ่ะย่ะค่ะ กำลังรอพระองค์อยู่”
“นางล่ะ?” จิ่งเทียนรู้สึกว่าหัวใจตนเต้นแรงมาก
“ให้คนไปรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์โปรดวางพระทัยเถิด อีกไม่ช้าก็จะได้พบผู้มีพระคุณน้อยแล้ว” เซินกงกงรู้เรื่องช่วงนั้นในอดีต ที่ฝ่าบาทรอดมาได้ก็เพราะเจ้าหญิงน้อยองค์นี้
จิ่งเทียนปรับลมหายใจ “ดี ดี!”
“ควรเสด็จได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แขกเหรื่อต่างกำลังรออยู่ ทรงต้องการถามอ๋องชินทั้งสองเรื่องหนึ่งมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” เซินกงกงเตือน
“ใช่ ถูกต้อง ข้าต้องการถามพวกเขาเรื่องหนึ่ง” จิ่งเทียนใช้นิ้วมือกดๆ เส้นผม จัดแต่งชุดมังกร แต่กลับถามเซินกงกงอย่างตื่นเต้นอีก “เจ้าดูสิ ข้าตากแดดจนดำคล้ำไปหรือเปล่า?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสิริโฉมงดงามที่สุด ไม่ดำคล้ำสักนิด ทรงทอดพระเนตรดูสิพ่ะย่ะค่ะ!” เซินกงกงยิ้มแล้วยกกระจกทองเหลืองขึ้น ในกระจกบานนั้นสะท้อนโฉมหน้าคมสันอ่อนโยน มีความพยศของชายหนุ่ม และมีความหนักแน่นแห่งราชา
จิ่งเทียนลูบแก้มของตัวเอง “ไม่ดำ…เช่นนั้นมีความเป็นชายชาตรีหรือไม่? เหมือนเด็กน้อยหรือเปล่า?”
เซินกงกงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ฝ่าบาท ทรงเคยเห็นเด็กน้อยสูงเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ร่างองค์จักรพรรดิตั้งตรง ราวกับต้นหยกดอกกล้วยไม้ ออกว่าราชการไม่นานก็มีบุคลิกแห่งเจ้าครองแคว้นแล้ว จะนั่งดู นอนดู ตีลังกาดู ก็เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุด
“ฝ่าบาทของบ่าว ในใจของข้าน้อย ทรงเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุค ผู้มีพระคุณน้อยต้องไม่ผิดหวังกับพระองค์แน่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งเทียนหัวเราะ ดวงตาราวกับกรอกท่วงทำนองแห่งอารมณ์ เกิดเป็นประกายพลิ้วไหวขึ้นมาทันที
อ๋องอานกับอ๋องเว่ยมาถึงตำหนักหมิงเยว่แล้ว ทั้งสองนำผู้ติดตามขี่ม้ามาตลอดทาง แม้ไม่ถึงกับอ่อนล้า แต่ก็มีละอองธุลีจับ เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้พักก็ต้องเข้าวังแล้ว งานเลี้ยงหมั้นหมายเริ่มก่อนกำหนด
พวกเขารู้สึกประหลาดใจมาก เหตุใดแคว้นจินจึงทำไปเรื่อยเยี่ยงนี้? ก่อนหน้าบอกว่าจะอภิเษก ตอนนี้กลับมาบอกว่างานหมั้นอีก ทั้งยังจัดล่วงหน้า ไม่ทำตามกำหนดการ
เรื่องแต่งงานทำไปเรื่อยได้อย่างนั้นหรือ? อย่างกับเด็กเล่นขายของ
ทว่าพวกเขาก็รู้ว่าเจ้าสาวเป็นคนเป่ยถัง ดังนั้นเมื่อพวกเขาทั้งสองที่เป็นอ๋องชินมาถึง ก็เท่ากับครอบครัวฝั่งเจ้าสาวมาแล้ว ควรยอมรับการจัดการของแคว้นจิน พร้อมกันนั้นก็ต้องสนับสนุนการจัดการของแคว้นจินด้วย
เนื่องจากทูตต่างแดนก็อยู่ ในฐานะที่พวกเขาเป็นขุนศึก จึงใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดเชื่อมสัมพันธ์ ปรึกษาหารือเรื่องการค้าชายแดน
จุดนี้ก่อนหน้านี้เจ้าห้าได้กำชับไว้แล้ว เขาบอกว่าหากได้พบกับคนของทางการแคว้นอื่นในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ ไม่เอ่ยถึงเรื่องบ้านเมืองก็พูดคุยการค้าได้ เมื่อพูดเรื่องการค้า พูดไปพูดมาสุดท้ายก็จะสำเร็จเอง
พวกเขารู้สึกว่าเจ้าห้าหน้าไม่อายนิดๆ แต่จำต้องพูดว่าหลายปีมานี้ ภายในแคว้นรุ่งเรืองขึ้นมากทีเดียว
หากใช้คำพูดของเจ้าห้า ก็คือวางแผนเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมกันนั้นเงินทองขาวๆ ก็ไหลเข้าเป่ยถังไม่ขาดสาย
ก็ขณะที่พวกเขากำลังพยายามพูดคุยกับทุกคนอยู่ ก็ได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จแล้ว
อ๋องชินทั้งสองประหลาดใจกับฮ่องเต้แคว้นจินมาก เป็นฮ่องเต้หนุ่มน้อย ได้ยินว่าปีนี้เพิ่งสิบหกหรือสิบเจ็ด? สรุปคือไม่เกินสิบแปด แต่กลับโค่นอ๋องเจิ่นกั๋วที่มีชื่อเสียงโด่งดังในตอนนั้นได้แล้ว
มีความสามารถและอุบายเพียงไร?
หลังจากขันทีขานแล้ว ก็เห็นฮ่องเต้หนุ่มในชุดมังกรเหลืองอร่ามเข้ามาภายใต้การห้อมล้อมของกลุ่มคน
สวมชุดมังกร มิใช่ชุดมงคล เห็นชัดว่าไม่ใช่การอภิเษกจริง
เพียงแต่ชุดมังกรแลดูใหม่มาก ท่าทางราวกับยังไม่เคยสวมใส่ เส้นไหมเรียบลื่น ตัดเย็บได้พอดีตัว ห่อหุ้มกายาสง่าผึ่งผาย ครั้นมองโฉมหน้าก็สดใสแจ่มชัด น่าเกรงขามเหลือล้น แต่กลับไม่ขาดความอ่อนโยนสุภาพ ประหนึ่งสุภาพชนที่อ่อนน้อม แฝงความองอาจคมสัน
“ไยดูแล้วมีส่วนคล้ายน้องห้าตอนยังวัยรุ่นอยู่นะ?” อ๋องเว่ยพึมพำ
อ๋องอานส่ายหน้า “ไม่ น้องห้าไม่สุภาพขนาดนั้นเหมือนเขา ตอนนั้นน้องห้าดูภายนอกเป็นร่างมนุษย์ใจสุนัข แต่อันที่จริงหากว่าตามนิสัยยังจะเหมือนควายอยู่หน่อยๆ”
“หากเขาเป็นควายแล้วยังจะทำจนเจ้ายับเยินเช่นนี้ได้หรือ?” อ๋องเว่ยขัดเขา
“ข้าหมายถึงบุคลิกภายนอก เขาไม่สุภาพขนาดนั้นอย่างเขา ดูรู้หนังสือมีการศึกษา” อ๋องอานเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เขาเดินมาทางพวกเราแน่ะ” อ๋องเว่ยเอ่ย หยัดเอวตั้งตรง เผยรอยยิ้มที่เหมาะสม รอให้ฮ่องเต้น้อยมาถึงก็จะยกมือขึ้นคำนับ
แต่ไหนเลยจะรู้ ว่าฮ่องเต้น้อยกลับยกมือขึ้นคารวะพวกเขาก่อน “อ๋องชินอาน อ๋องชินเว่ย พวกท่านทั้งสองชื่อเสียงระบือทุกหย่อมหญ้า วันนี้ได้พบกับพวกท่านสักที ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”
ทั้งสองตอบกลับตามมารยาท “ฝ่าบาททรงเกรงพระทัยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ มิกล้า”
“ฝ่าบาททรงชนมายุน้อยก็ปรีชาสามารถ บุคลิกเหนือคน วันนี้ได้ยลโฉม เป็นบุญสามชาติของพวกเราพี่น้องจึงจะถูกพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งเทียนยิ้มบาง “อ๋องชินกล่าวหนักเกินไปแล้ว เชิญนั่งเร็วเถิด!”
“เชิญฝ่าบาทก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากจิ่งเทียนพยักหน้าเล็กน้อยมาทางพวกเขาเป็นการขอบคุณแล้ว ก็ทักทายกับแขกเหรื่ออื่น ไม่วางมาดสักนิด
รอจนเอ่ยวาจาตามมารยาทแล้วเสร็จ ก็ขึ้นบนแท่นหลัก แล้วรับการคารวะจากแขกเหรื่อทั้งหลายอีกครั้ง
ครั้นจิ่งเทียนนั่งลงแล้ว ก็มองทางแขกทั้งหลาย แต่สุดท้ายสายตาก็ยังทอดไปทางอ๋องอานและอ๋องเว่ย คำพูดแรกกลับเป็นการเอ่ยถามตรงๆ “วันนี้ข้าจะหมั้นหมาย มิทราบทุกท่าน มีผู้ใดเห็นต่างหรือไม่?”
เมื่อโพล่งคำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน ฮ่องเต้แคว้นจินจะหมั้นหมายก็ดี แต่งงานก็ช่าง แขกในที่นี้ไหนเลยจะมีความเห็นต่าง?
คำถามนี้ทำจนทุกคนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เมื่อครู่ยังคิดว่าฮ่องเต้น้อยท่าทางเปี่ยมด้วยปรีชา แต่พริบตาเดียวก็แสดงความเขลาออกมาเสียแล้ว
จิ่งเทียนยิ้มบาง แล้วมองอ๋องอานกับอ๋องเว่ยอีก “ท่านอ๋องทั้งสอง มิทราบว่าเห็นด้วยหรือไม่?”
อ๋องอานกับอ๋องเว่ยงงงันหนักกว่าเดิม ครั้นเห็นทุกคนทอดสายตาประหลาดใจเหมือนกันมาแล้ว จะไม่ตอบก็ไม่ดี ดังนั้นอ๋องเว่ยจึงเอ่ย “พวกกระหม่อมมาร่วมยินดีกับ…งานเลี้ยงหมั้นหมายของฝ่าบาท ย่อมต้องเห็นด้วยอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”