บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1623 มีหรือไม่มีเขาก็ได้ทั้งนั้น
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1623 มีหรือไม่มีเขาก็ได้ทั้งนั้น
อ๋องเว่ยแสดงท่าทีหยิ่งผยองเต็มที่ “ข้าไม่มีทางช่วยเจ้า เว้นเสียแต่ว่าเจ๋อหลานจะพูดเองว่าชอบเจ้า อยากแต่งให้เจ้า ถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าก็เลิกคิดไปได้เลย!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอ!” จิ่งเทียนพูด
อ๋องเว่ยมองดูความบ้าคลั่งและความมุ่งมั่นที่คุ้นเคยในดวงตาของเขา “ไอ้นิสัยที่โง่เขลาและดื้อรั้นแบบนี้ของเจ้า ทำเอาข้าไม่รู้จะต่อว่าเจ้าอย่างไรดีเลยจริง ๆ ใต้หล้านี้มีผู้หญิงมากมาย ผู้หญิงที่งดงามโดดเด่นกว่าเจ๋อหลานก็ไม่แน่ว่าจะไม่มี ทำไมเจ้าถึงต้องมาตามพัวพันตามตอแยเจ๋อหลานของพวกเราไม่ยอมปล่อยแบบนี้ด้วย?”
เสียงของจิ่งเทียนเบามาก แต่คำพูดทุกคำล้วนหนักแน่น “แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย ข้าจะไม่คิดถึงใครอื่นในชีวิตนี้ ทั้งจะไม่มีวังหลังใด ๆ ทั้งสิ้น แค่มีนางคนเดียว ในใจข้าก็ไม่มีที่เหลือไว้ให้ใครอื่นได้อีกแล้ว”
อ๋องเว่ยกับอ๋องอานหันมามองหน้ากัน ถ้อยคำเหล่านี้ช่างซาบซึ้งกินใจเหลือเกิน
ติดอยู่แค่ การให้คำมั่นสัญญาแบบปากเปล่ามันทำได้ง่าย แต่จะมีสักกี่คนล่ะที่ทำได้จริง?
“ หวังว่าเมื่อเจ้าอายุถึงยี่สิบ หรือสามสิบไปแล้ว จะยังจำสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ได้นะ” อ๋องเว่ยพูด
จิ่งเทียนพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เพียงแต่ เมื่อรอจนเจ๋อหลานกลับมาถึง เขากลับเป็นฝ่ายพูดกับเจ๋อหลานว่า “สิ่งที่ข้าทำลงไปเมื่อวานนี้เป็นเรื่องที่ออกจะเลอะเลือนเกินไปจริง ๆ เจ้าอย่าได้เก็บไปคิดมากเลยนะ ทำเป็นว่าเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นแล้วกัน”
“อื้ม!” แม้ว่าเจ๋อหลานจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ในดวงตาของนางก็ยังคงเต็มไปด้วยเปลวไฟสายหนึ่ง ที่ใครเห็นก็เกิดความรู้สึกว่าไม่กล้ามองตรง ๆ
“ ในวันข้างหน้า เราสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เจ้าพอจะนับข้าเป็นเพื่อนได้ใช่หรือไม่?” จิ่งเทียนมองนางพลางพูดด้วยรอยยิ้ม
เจ๋อหลานก็ยิ้มพลางพูดว่า “แน่นอนสิ พวกเราเป็นเพื่อนกัน”
จู่ ๆ อ๋องเว่ยก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น อย่างน้อย เขาไม่ได้กดดันเจ๋อหลานต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนนี้ที่ทั้งสองประเทศกำลังเจรจากันเรื่องความร่วมมือ เขาสามารถเรียกร้องบางอย่างได้ แต่เขาก็ไม่ทำแบบนั้น
พวกเขาจะกลับกันแล้ว จิ่งเทียนไม่ได้ฝืนรั้งไว้มากนัก ทั้งยังสั่งคนไปเตรียมของขวัญไว้มากมาย ก่อนจะส่งพวกเขาออกจากวัง
หลังจากที่พวกเขากลับไป จิ่งเทียนก็ขึ้นไปบนหอทงเทียน มองตามเงาร่างที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป ค่อย ๆ คลายคิ้วที่ขมวดแน่นเป็นปมออกจากกัน
อะเฉินยืนอยู่ข้างเขา “ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าท่านอ๋องทั้งสองจะโกรธมาก หรือบางทีการที่ท่านใช้วิธีนี้ อาจผิดพลาดไปเสียแล้ว?”
จิ่งเทียนส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ใช่เพราะใช้วิธีผิดหรอก การที่พวกเขาโกรธ ข้าก็เข้าใจได้ ข้าให้สัญญากับเจ๋อหลานไว้ว่าจะให้นางเป็นฮองเฮา ถ้าในอนาคตมีใครมาชอบนาง อันดับแรกคนผู้นั้นต้องพิจารณาให้ดีก่อนว่า เขาเก่งกาจโดดเด่นกว่าข้าหรือไม่ แน่นอนว่าข้าย่อมหวังว่านางจะแต่งให้ข้า แต่ถ้านางไม่ยินดี เช่นนั้นคนคนนั้นก็คงจะต้องเป็นคนที่ดีกว่าข้าแน่ หากเป็นเช่นนั้นข้าถึงจะวางใจได้”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ อะเฉินก็รู้สึกทรมานใจเล็กน้อย “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าที่ท่านทำหลายสิ่งหลายอย่างเหล่านี้ ก็เพื่อจะเอาชนะใจ องค์หญิง”
จิ่งเทียนพูดว่า “ข้าทำเช่นนั้น เป็นธรรมดาที่ข้าจะทำเช่นนั้น อันที่จริงตอนที่ได้พบหน้าเจ๋อหลาน ข้าเองก็เคยรู้สึกเสียใจในภายหลังเช่นกัน รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันอ่อนต่อโลกเกินไป แต่พอมาคิดให้รอบคอบ คิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่นางบอกกับข้าว่า อยู่ในวัยอะไรก็สมควรทำในสิ่งที่วัยนั้นควรทำ อายุข้ายังไม่ถึงสิบเจ็ดเลย ยังสามารถเล่นอะไรบ้าบอได้ สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ เช่นนั้นในอนาคตเมื่อได้มองย้อนกลับไป จะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง”
“เพียงแต่ว่า ถ้ามีคนเช่นนั้นปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ ท่านจะไม่รู้สึกทรมานใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?” อะเฉินถาม
จิ่งเทียนหันไปมองเขา “ยังจำคำถามหนึ่งที่ข้าเคยถามเจ้าที่นี่ได้หรือไม่ ? ว่าเจ้าเคยชอบใครสักคนบ้างหรือเปล่า?”
“พ่ะย่ะค่ะ ที่ฝ่าบาทเคยถาม” เป็นคำถามของเมื่อวานนี้ อะเฉินพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านตรัสว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ให้กระหม่อมลองมีดูให้ได้สักครั้ง”
ลมพัดผ่านใบหน้าอันอ่อนเยาว์ ดวงตาของเขาเป็นประกายวับวามเจิดจรัส “ใช่ ความรู้สึกนั้นมันดีมาก แต่ข้ายังมีคำพูดหนึ่งที่ไม่ได้บอกเจ้า ถ้าหากว่าเจ้าชอบใครสักคนหนึ่งจริง ๆ แล้วล่ะก็ นอกจากเจ้าจะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนางแล้ว ก็ยังหวังว่านางจะโชคดี มีความสุข และชีวิตหลังจากนั้น จะมีความสำคัญมากกว่าอดีตเสมอ เพียงแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมแพ้เรื่องของนางง่าย ๆ หรอกนะ ข้าจะยังคงพยายามไขว่คว้าต่อไป เพื่อให้ถึงจุดที่นางหวังให้ข้าทำจนกว่าจะสำเร็จ”
ไม่ต้องรีบร้อน ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนจริง ๆ เขารอนางได้ จะนานแค่ไหนก็รอได้
อะเฉินเกิดความรู้สึกอึดอัดทรมานใจอย่างอธิบายไม่ถูก ถนนเส้นนี้ ต้องเดินด้วยความยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดกัน
ฝ่าบาทตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ก็ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง มาตอนนี้มีอำนาจในมือแล้ว ยังจำเป็นต้องทรมานตัวเองขนาดนี้อีกหรือ?
“ ฮ่องเต้แห่งเป่ยถังน่ะ บางทีคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยเชียวล่ะ” จู่ ๆ จิ่งเทียนก็หัวเราะออกมา ดวงตาวับวามเจิดจ้า ระยิบระยับดั่งแสงดาวที่ส่องประกายเจิดจรัส
ที่บนหลังคาของหอทงเทียน มีเงาดำสายหนึ่งวาบผ่านไปบนท้องฟ้า จากไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ดึงดูดความสนใจของใครทั้งสิ้น
เป่ยถัง
ที่เป่ยถัง หยู่เหวินเห้าที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง จู่ ๆ ก็จามติด ๆ กันหลายครั้ง
หยวนชิงหลิงได้ยิน ก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที “เป็นอะไรไป? หรือจะไม่สบายอีกแล้ว? ”
“ไม่เป็นไร ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ ๆ ถึงจามขนาดนี้” หยู่เหวินเห้าถู ๆ จมูก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “บางทีลูกสาวคงคิดถึงข้าแล้ว เจ้าหยวน ไม่ใช่ว่าควรได้เวลาที่นางต้องกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วหรอกรึ?”
“เพิ่งจะไปได้นานเท่าไหร่เอง? เจ้าไม่กลัวว่านางจะเร่งเดินทางจนเหน็ดเหนื่อยหรอกรึ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยรอยยิ้ม
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจเบา ๆ “ไม่ได้พบหน้าหนึ่งวัน ช่างเหมือนห่างไกลกันถึงสามฤดูใบไม้ร่วงเสียจริง มีลูกสาวก็มีทั้งเรื่องดี แล้วก็มีเรื่องไม่ดีด้วย ต้องคอยกังวลเรื่องนี้อยู่เสมอ มีลูกชายกลับรู้สึกวางใจได้มากกว่าจริง ๆ”
“ อย่าให้พวกลูกชายมาได้ยินเข้าล่ะ พวกเขาจะหาว่าเจ้าลำเอียง” หยวนชิงหลิงพูด
“ ไม่พูดหรอก ข้ามันคนหน้าซื่อใจคด”
หยวนชิงหลิงหัวเราะร่า ก็เป็นคนหน้าซื่อใจคดจริง ๆ นั่นล่ะ
“เอาเถอะ เจ้าไปห้องทรงอักษรเถอะ ข้าจะกลับไปเก็บของ เดาว่าเหลิ่งโสวฝู่คงร้อนใจอยากพบเจ้าแทบแย่แล้ว” หยวนชิงหลิงพูด
“อื้ม วันพรุ่งนี้เราค่อยไปจวนอ๋องซู่ด้วยกัน เอาของขวัญที่เรานำกลับมาไปแจกจ่ายเสียหน่อย”
หยู่เหวินเห้ายิ้มกว้าง เขาเกือบจะจินตนาการถึงท่าทางมีความสุขของสามยักษ์ใหญ่ ที่จะชื่นชมยกย่องพวกของใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากที่นั่นกันขนาดไหนออกมาได้เป็นฉาก ๆ เลยทีเดียว
“จริงสิ จดหมายที่ฮ่องเต้แคว้นจินส่งมาฉบับนั้นน่ะ เอามาให้ข้าหน่อย”
“อยู่ในห้องทรงอักษร อีกสักครู่ข้าจะให้คนนำมาส่งให้เจ้า มีอะไรอย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากอ่านดูสักหน่อยเท่านั้นเอง”
ในห้องทรงอักษร
เหลิ่งจิ้งเหยียนกับท่านชายสี่จ้องมองใบหน้าของหยู่เหวินเห้านานมาก จ้องจนเขาหงุดหงิดใจ ตบโต๊ะเปิ้งแล้วพูดว่า “ข้าให้พวกเจ้าพูดมา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นช่วงที่ข้าออกไปพักฟื้นอาการป่วยนอกเมืองหลวง? แล้วพวกเจ้ามาจ้องข้ากันทำไม? ”
“เจ้าห้า นี่มันไม่ถูกต้องนะ เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้า? มันทั้งดูขาวขึ้นและดูเนียนละเอียดขึ้นมาก เจ้าไปพักฟื้นที่ไหน? กินยาอะไรบ้าง?” เหลิ่งจิ้งเหยียนถาม
“ยาวิเศษ ข้ากินยาวิเศษ”เจ้าห้าตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“ยาวิเศษอะไรน่ะ? ให้ข้าสักเม็ดสิ ข้าจะเอาไปให้องค์หญิง” ท่านชายสี่พูด
ผู้หญิงต่างก็รักสวยรักงาม โดยเฉพาะผู้หญิงที่คลอดลูกแล้ว มักจะกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตาว่าตัวเองจะดูแก่ดูเหี่ยว หากได้ยาวิเศษที่สามารถฟื้นคืนความอ่อนวัยได้ ต่อให้ต้องจ่ายทองพันชั่งเขาก็จะซื้อ
“เมื่อกินยาวิเศษนี้ จะต้องพบเจอประสบการณ์เฉียดตายเก้าส่วน รอดตายหนึ่งส่วน เจ้ายังอยากกินอยู่หรือไม่ล่ะ?” หยู่เหวินเห้ายังคงเคาะโต๊ะ “พูดถึงเรื่องสำคัญเสียที ช่วงนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ มีฎีกาส่งมาแล้ว เจ้าอ่านเองไม่ได้หรืออย่างไรกัน ?”ท่านชายสี่ผลักฎีกาไปตรงหน้าเขา “กลับไปที่เรื่องยาวิเศษ ทำไมกินยาวิเศษถึงต้องพบเจอประสบการณ์เฉียดตายเก้าส่วนรอดตายหนึ่งส่วน? เจ้าได้มาจากไหน ? เม็ดละเท่าไหร่?”
หยู่เหวินเห้ากลอกตา ตัดสินใจบอกความจริงกับพวกเขาไปว่า “ข้าไม่ได้กินยาวิเศษอะไรหรอก แต่ข้าไปดึงผิวหน้ามา เจ้ารู้หรือไม่ว่าการดึงผิวหน้าคืออะไร? มันคือการกรีดผ่าผิวหน้าตั้งแต่ใบหู กรีดไปจน…..”
“อี๋!” จู่ ๆ ทั้งสองก็ขัดจังหวะคำพูดของเขาด้วยความรังเกียจ “โหดร้ายเกินไปแล้ว”
“อย่างไรข้าก็ไม่รู้สึกอะไรเลย หลังจากที่ข้าหลับไปแล้ว เจ้าหยวนเป็นคนช่วยทำให้” หยู่เหวินเห้ายังคงเชื่ออย่างมั่นคงว่าเขาถูกดึงผิวหน้าแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้ว คนคนหนึ่งไม่มีทางอยู่ดี ๆก็กลับมาเป็นเด็กได้โดยไม่มีเหตุผลแน่
“ไม่เจ็บหรือ? เจ้านอนไหวได้อย่างไรกัน?” ท่านชายสี่นึกสงสัยมาก
“ไม่เจ็บ ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย พวกเจ้าอย่าเอาไปบอกใครอื่นเชียวล่ะ ที่จริงข้าเองก็ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์เท่าไหร่หรอก แต่เจ้าหยวนหวังว่าข้าจะดูหนุ่มแน่นไปนาน ๆ เช่นนั้นแล้วจะว่านางก็ไม่ได้ ”
“ได้ ไม่พูด ๆ นี่เป็นความลับระดับประเทศ” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดพลางหัวเราะ
นี่ไม่ใช่ความลับระดับประเทศหรอกรึ? ฮ่องเต้แห่งเป่ยถังกลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้ง ดูไปแล้วเหมือนว่าเขาจะอยู่ไปได้อีกนานเป็นร้อย ๆ ปีเลยทีเดียว แน่นอนว่านี่จะต้องดึงดูดการคาดเดาจากทั้งสี่ประเทศเป็นธรรมดา
“แล้วช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง….”
ท่านชายสี่ขัดจังหวะเขาอีกครั้ง “ทั่วสารทิศล้วนสงบสุข มีหรือจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรได้? นโยบายก็ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบดีทุกประการ พวกปัญหาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าขี้ตา ต่างก็แก้ไขได้ไม่ยากหรอก”
หยู่เหวินเห้าถึงกับตะลึง กล่าวได้ว่าตอนนี้เป่ยถังจะมีหรือไม่มีเขาก็ได้แล้วอย่างนั้นรึ?
มันหมายความว่าอย่างนี้ใช่หรือไม่?