บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1624 เปาเอ๋อไปไหนแล้ว
หยวนชิงหลิงนำจดหมายไปที่ห้องทดลอง ในห้องทดลองมีกล้องจุลทรรศน์ที่นางเอามาด้วยเมื่อก่อนหน้านี้
เมื่อนำจดหมายไปวางไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ แล้วส่องดูอย่างละเอียด กลับไม่พบหนอนน้ำแข็งตามที่หยางหรูไห่เคยบอกไว้
หยางหรูไห่เคยบอกไว้ว่าหนอนน้ำแข็งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติที่ดื้อด้านอย่างมาก หากมันสามารถแพร่พันธุ์ได้ภายใต้สภาวะปกติ ควรมีน้ำแข็งจำนวนมากอยู่บนหัวจดหมาย แต่ทำไมกลับไม่มี?
ถ้าหาไม่เจอ ก็จะสืบหาไม่ได้ การจะหาหนอนน้ำแข็งให้เจอได้ บางทีอาจต้องไปหาที่ราชสำนักของแคว้นจินเท่านั้นแล้ว
ลองถอยกลับไปก้าวหนึ่ง แล้วคิดใหม่อีกครั้งว่า ถ้าพูดในแง่ที่หนอนน้ำแข็งตัวนี้มีความสามารถในการสืบพันธุ์ไม่ดี อาจจะสร้างรอยเปื้อนเพียงเล็กน้อยบนหัวจดหมาย หลังผ่านการเดินทางหลายพันลี้ มีมือของหลายคนที่เคยได้สัมผัส จนสุดท้ายอาจจะเข้าไปในบาดแผลของเจ้าห้า นี่มันนับว่าเป็นโชคร้ายแบบอภิมหึมา ซวยแบบมหาศาลอะไรได้ขนาดนั้น
หรือต้องไปแคว้นจินสักครั้งจริง ๆ?
วันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าสามีภรรยาก็ไปที่จวนอ๋องซู่เพื่อน้อมทักทายอู๋ซ่างหวง รวมถึงรวดแจกของขวัญไปด้วยพร้อมกัน
คราวนี้เขายังคงนำบุหรี่มาให้อู๋ซ่างหวง แต่อู๋ซ่างหวงแค่ดม ๆ ครู่เดียวจากนั้นก็วางมันลง ยิ้มแล้วส่ายหน้าพลางพูดว่า “ข้าเลิกสูบแล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงหันมามองหน้ากัน ต่างมีท่าทีเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้อู๋ซ่างหวงเคยบอกว่าจะเลิกหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังแอบไปขโมยสูบอยู่เสมอ ต่อให้ได้สูบสักเฮือกก็ยังดี เรียกได้ว่าเสพติดจนเกินเยียวยา
แล้วคราวนี้จะเลิกได้จริงๆ น่ะรึ?
“ ข้าอายุมากแล้ว ยังอยากมีชีวิตอยู่เห็นหน้าพวกเจ้าให้นานขึ้นอีกหน่อย ให้ดีที่สุดคืออยู่จนได้เห็นเจ๋อหลานแต่งงาน หากยังมีโชควาสนากว่านั้น ก็อยากจะอยู่จนได้เห็นนางมีลูกด้วย” อู๋ซ่างหวงพูดด้วยอารมณ์ปลงในชีวิต
หยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเขา “ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงพูดเรื่องเศร้า ๆ แบบนี้ขึ้นมาล่ะ? อย่างไรท่านก็ต้องได้เห็นอย่างแน่นอน”
อู๋ซ่างหวงพูดว่า “ตั้งแต่เกิดเรื่องกับยายชิวของเจ้า ข้าก็คิดอะไรได้มากเลยเชียวล่ะ เดิมทีข้าควรจะตายไปตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนหน้านี้แล้ว มาตอนนี้พอมองย้อนกลับไป กลับรู้สึกเหมือนว่าสิบกว่าปีมานี้เป็นเวลาที่ข้าขโมยมันมา ในใจรู้สึกหวาดหวั่นไม่เป็นสุขอยู่เสมอ ถ้าไม่รู้จักใส่ใจให้มากกว่านี้ ก็ไม่แน่แล้วว่าชีวิตแก่ ๆ นี้จะถูกทวงกลับไปเมื่อไหร่”
เขามองหยวนชิงหลิง ในแววตามีความรักใคร่อาดูร “ดังนั้น นับจากนี้ไป ข้าจะใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ยอมรับการจัดการดูแลของพวกเจ้าทุกคน ข้าอยากอยู่กับพวกเจ้าให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลย” หยวนชิงหลิงยิ้มแย้ม แต่ในใจกลับรู้สึกเศร้า ๆ หน่วง ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
วัยหนุ่มสาวมักไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิตของตัวเอง แต่เมื่อถึงวัยชราที่เข้าสู่การนับถอยหลัง แค่เพียงหนึ่งวันพวกเขาก็ต้องใส่ใจ ต้องเลิกงานอดิเรกที่ทำมาเป็นเวลาหลายสิบปี เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ยืนยาว ได้อยู่กับพวกเขาให้นานขึ้นอีกนิด
ผู้เฒ่าฉู่กับเซียวเหยากงก็พยักหน้ารับอยู่ข้าง ๆ เขาด้วย
เพราะถึงแม้ว่าในใจจะยังหนุ่มแน่นมีไฟ แต่สังขารร่างกายก็ยังต้องแก่ไปตามกาลเวลา
เมื่อคนเราแก่แล้ว แต่กลับยังมีหลายคนที่ตัดใจลาไม่ได้ จึงต้องหวงแหนชีวิตตัวเองให้มาก
“ จริงสิ แล้วเสด็จปู่ใหญ่กับเสด็จย่าใหญ่ล่ะ?” หยู่เหวินเห้าแจกของขวัญเสร็จ ค่อยพบว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ที่นี่
“ หลังจากที่อาการของยายชิวของเจ้าคงที่แล้ว พวกเขาก็ออกไปแล้วล่ะ บอกว่าอีกหลายเดือนถึงจะกลับมา”
“ออกไปอีกแล้วหรือ?” หยู่เหวินเห้าสงสัยมาก ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วหรือว่าจะใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกัน? ทำไมพวกเขาถึงเอาแต่ออกไปที่อื่นอยู่เรื่อยเลย ? แล้วทุกครั้งที่กลับมา ก็จะอยู่แค่ไม่กี่วันจากนั้นก็จะออกไปอีก
“อื้ม เขาพาพวกเฮยหยิ่งไปกับเขาด้วยน่ะ”
ไปที่ไหน? หยู่เหวินเห้าถาม
“ ไม่ได้บอกไว้ แค่บอกว่าจะไปจัดการกับเรื่องสำคัญระดับชาติบางอย่าง” อู๋ซ่างหวงพูดไปพลางก็อดหัวเราะไม่ได้ “ตอนนี้เขายังต้องไปจัดการกับเรื่องระดับชาติอะไรอีกล่ะ? เป่ยถังสงบร่มเย็นแล้ว ข้าว่าคงแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นมากกว่า”
หยู่เหวินเห้าก็หัวเราะด้วย “ข้าก็ว่าอย่างนั้นล่ะ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลายสิบปีมานี้พวกเสด็จปู่ใหญ่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ได้ยินว่าพวกเขากลับมาบ้างเป็นครั้งคราว จากนั้นก็วิ่งวุ่นไปทั่วสารทิศอีก ถึงจะบอกว่าพวกเขาลงหลักปักฐานที่หมู่ตึกเหมย แต่เอาเข้าจริงคาดว่าปีหนึ่ง ๆ พวกเขาอาจอยู่ที่นั่นไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ
“พวกเจ้าจะอยู่กินมื้อเย็นที่นี่หรือไม่?” อู๋ซ่างหวงถาม
“โอ้ ได้ วันนี้ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรอยู่แล้ว” หยู่เหวินเห้าตอบรับ
เมื่ออู๋ซ่างหวงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็มีความสุขมาก “ไม่มีอะไรสิดี เป็นเรื่องที่ดีมากเลย”
หากฮ่องเต้สามารถพักผ่อนได้เป็นครั้งคราว นั่นก็หมายความว่าในประเทศไม่มีเรื่องราวใหญ่โตอะไรให้กังวลจริง ๆ
ค่ำลงอีกหน่อย คุณย่าหยวนก็มาด้วย ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกัน ร่วมกินอาหารมื้อเบา ๆ ที่รสชาติอ่อน ๆ เพื่อสุขภาพ
รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวมาก และรู้สึกสบายมาก
หยู่เหวินเห้าสามีภรรยานั่งรถม้ากลับวังภายใต้แสงจันทร์ จู่ ๆ ก็นึกถึงงานอภิเษกของฮ่องเต้น้อยแห่งแคว้นจิน จึงพูดว่า “ข้าเรียกให้เจ้าสามกับเจ้าสี่ไปร่วมงานอภิเษกของฮ่องเต้แคว้นจิน ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะส่งพิราบสื่อสารกลับมารายงานอะไรข้าเลย”
“ บางทีอาจเพราะไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ เลยไม่รายงานมาก็เป็นได้” หยวนชิงหลิงพูด
“ ข้ารู้ว่าเจ๋อหลานหวังว่า จะได้พัฒนาเรื่องการขุดเหมืองแร่กับพวกเขามาโดยตลอด ดังนั้นนอกจากจะให้พวกเขาไปร่วมงานอภิเษกครั้งนี้ ยังหวังให้พวกเขาช่วยเป็นธุระเบิกทางในเรื่องนี้ด้วย อย่างไรก็ต้องรายงานกลับมาบ้าง”
หยวนชิงหลิงแนบตัวพิงอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเงียบ ๆ “เจ๋อหลาน? ได้ยินเจ้าเรียกลูกสาวด้วยชื่อจริง ข้ารู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยล่ะ”
“นางโตแล้ว จะให้เรียกแต่ชื่อเล่นตลอด อาจจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ ” หยู่เหวินเห้ายังคงรู้วิธีรักษาหน้าของลูกสาวได้อย่างดีเยี่ยม
“ แล้วทำไมเจ้าถึงยังเรียกลูกชายว่าเปาเปาเอย ทังหยวนเอยพวกนี้ล่ะ? เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะเสียหน้าบ้างรึ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าไม่เข้าใจ ลูกผู้ชายไม่ต้องกลัวเสียหน้า ลูกผู้ชายควรจะหน้าหนาเข้าไว้” เขาก้มหน้าลงไปจูบหยวนชิงหลิง เผยรอยยิ้มสดใส “แบบนี้ถึงจะได้แต่งภรรยาที่ดี”
“หนังหน้าเจ้ายิ่งนับวันก็ยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ เสียด้วย” หยวนชิงหลิงยกแขนขึ้นโอบรอบคอของเขา จูบเบา ๆ ที่หว่างคิ้ว เมื่อมองดูรูปลักษณ์ของเจ้าห้าตอนนี้ ก็ทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวมากมายหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต
แต่นางอยากจะบอกว่า เจ้าห้านั้นหล่อมากจริง ๆ ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่มีออร่าที่ให้ความรู้สึกว่าเข้มแข็งขนาดนี้มาก่อนเลยนะ?
“ เจ้าหยวน คิดถึงลูกแล้วล่ะ พรุ่งนี้เรียกเปาเอ๋อกลับจากค่ายทหารมากินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดพลางสวมกอดนาง
“อื้ม ได้” หยวนชิงหลิงพยักหน้ารับ นางก็คิดถึงลูกเช่นกัน
ตอนนี้มีเพียงเปาเอ๋อที่อยู่ข้างกาย คนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก แต่ละคนต่างก็ยุ่งกับงานของตัวเอง
แม้จะรู้ว่าพวกเขาปลอดภัยดี แต่ในใจก็ยังคิดถึงเป็นห่วงพวกเขาอยู่เสมอ
หลังจากกลับไปถึงวังแล้ว หยู่เหวินเห้าก็สั่งให้สวีอีไปที่ค่ายทหารในวันพรุ่งนี้ เพื่อไปพา
เปาเอ๋อกลับมา
ค่ายทหารของกองทัพทางใต้ ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองหลวง สวีอีสามารถไปกลับได้ในหนึ่งวัน
แต่เมื่อไปถึงค่ายทหาร แม่ทัพบัญชาการค่ายกลับเขาว่าเจ้าชายขอลาพัก บอกว่ามีธุระด่วนต้องรีบไปทำราว ๆ สองสามวัน
สวีอีกลับวังไปรายงาน หยู่เหวินเห้าหันไปมองหยวนชิงหลิงทันที “เขาไปไหน?”
หยวนชิงหลิงตกตะลึง “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าสามารถติดต่อกันได้หรอกรึ?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ติดต่อกันได้ก็จริง แต่ต้องให้เขาบอกข้าด้วยว่าเขาจะไปไหน นี่มันแปลกมาก เขาขอลาหยุดเพื่อไปที่ไหนกันแน่?” หยวนชิงหลิงอดสงสัยไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบถามเขาเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างกังวล
แม้ว่าเขาจะพูดอยู่ตลอดว่า เขาวางใจมากเกี่ยวกับพวกลูกชาย แต่มันคือการวางใจในแง่ของความสามารถ แต่ถึงลูก ๆ จะมีความสามารถจนเหาะเหินเดินอากาศได้ก็ตามแต่ พวกเขาก็ยังไม่โตจนมีวุฒิภาวะพอ ย่อมง่ายที่จะถูกคนอื่นล่อหลอก
หยวนชิงหลิงเรียกซาลาเปาด้วยพลังความคิด ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็วมาก ซาลาเปาบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง ช่วงนี้ไปแวะที่เมืองปราการเพื่อเล่นกับพวกน้องชาย
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าได้ยิน ก็มีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย ตัวเองมีฐานะเป็นแม่ทัพ ทิ้งงานในตำแหน่งหน้าที่ไปโดยพลการ นับว่าเป็นตัวอย่างที่แย่มาก
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” แต่ไหนแต่ไรมา เปาเอ๋อไม่เคยเป็นคนที่ทำอะไรไม่รู้ขอบเขตเช่นนี้ ทำไมถึงทิ้งหน้าที่ในกองทัพแล้วไปเที่ยวเล่นได้ล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “กองทัพมีกฎระเบียบผูกมัดเข้มงวด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอดทนจนผ่านพ้นมันไปได้ จิตใจของเขาไม่มั่นคงพอ ถ้าไม่ได้อยู่ในค่ายทหารก็พอจะถือว่าแล้วไปได้ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ก็ไม่ควรทำตัวไร้ระเบียบวินัยทั้งนั้น ตัวข้าเองเมื่อก่อนก็เข้มงวดกับตัวเองมากเช่นกัน”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “รอเขากลับมาก่อน ค่อยคุยกับเขาดี ๆ ให้รู้เรื่อง”
“ ได้ รอเขากลับมา แล้วคุยกันดี ๆ อย่าใช้อารมณ์” หยวนชิงหลิงตอบรับ
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “คงไม่ถึงกับใช้อารมณ์หรอก เขาเป็นคนที่เชื่อฟังและมีเหตุมีผล แต่เพราะอายุยังน้อย อย่างไรก็ยังอยากเที่ยวเล่นอยู่ดี คุยกันดี ๆ ก็เข้าใจได้”
หยวนชิงหลิงยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “ได้ ยกให้เป็นหน้าที่เจ้าแล้วกัน”
ในแง่ของการอบรมเลี้ยงดูลูก ที่แล้วมาเจ้าห้าจะมีขอบเขตเสมอ