บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1625 รอน้องสาว
ซาลาเปาหยู่เหวินหลี่ เวลานี้ยังคงอยู่ที่เมืองชายแดน เขาเพิ่งกลับมาจากแคว้นจินพร้อมกับพี่น้องทั้งหลาย งานอภิเษกของฮ่องเต้แคว้นจินครั้งนี้ มีอะไรไม่ชอบมาพากลจนพวกเขารู้สึกสงสัย จึงแอบลอบเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ในแคว้นจิน
เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นจินแต่งตั้งกวากวาเป็นฮองเฮา เดิมทีพวกเขาต่างก็โกรธมาก แต่บนหลังคาหอทงเทียนวันนั้น หลังจากได้ยินการสนทนาระหว่างฮ่องเต้แคว้นจิน กับหัวหน้าทหารรักษาพระองค์คนนั้นแล้ว จึงรู้ว่าเขาก็ยังมีความตั้งใจแน่วแน่แบบนั้น ถึงได้ไม่ลงไปคิดบัญชีกับเขา
พอรู้ว่ากวากวากำลังจะกลับมา ทุกคนก็ไปรอนางที่เมืองโร่ตูก่อน เรื่องนี้พ่อที่อยู่ทางโน้นคงไม่ได้รับรู้แน่ ในเมื่อพ่อไม่รู้ พวกเขาในฐานะพี่ชายที่เวลานี้มีสถานะเป็นเหมือนพ่ออีกคน จึงต้องถามไถ่ให้ถ้วนถี่
อย่างน้อย ก็ต้องให้รู้ว่ากวากวาคิดอย่างไร
ในใจหยู่เหวินหลี่ยังคงโกรธอยู่ นอกจากความโกรธแล้ว ยังมีความหวาดกลัวอย่างหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่า ไข่มุกบนฝ่ามือที่เฝ้าทะนุถนอมมา กำลังจะถูกใครบางคนพรากไป
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว น้องสาวก็จะต้องแต่งงาน พวกเขาต่างก็คิดว่า จะให้ดีที่สุดคือ น้องสาวควรรอให้ถึงอายุสามสิบก่อนค่อยแต่งงาน เรื่องอะไรที่ควรเล่นสนุก ก็ควรเล่นสนุก เรื่องอะไรที่ควรเพลิดเพลิน ก็ควรเพลิดเพลินให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกก็ต้องเลือก ให้ได้สัมผัสกับชีวิตด้วยจิตใจที่เป็นผู้ใหญ่ แล้วถึงค่อยเดินเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน เพราะแบบนั้นมันจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตหลังแต่งงานของนางอย่างมากมายมหาศาล
ใครจะคิดล่ะว่า เพิ่งจะอายุได้แค่สิบเอ็ด ก็ต้องมานั่งกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้กันแล้ว
“ พี่ใหญ่ แม่ตามหาอยู่ใช่หรือเปล่า? ” ทังหยวนถาม
“ อื้ม พ่อรู้แล้วว่าพี่ไม่ได้อยู่ในค่ายทหาร กลับไปคงถูกจับไปคุยเข้มแน่” หยู่เหวินหลี่ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่กลับไปเมืองหลวงก่อนล่ะ? พวกเรารอน้องสาวที่นี่เองก็ได้”
“ ไม่ล่ะ รอกลับไปแล้วค่อยอธิบายให้พ่อฟังดีกว่า”
“พี่จะโกหกพ่อหรือ?” ข้าวเหนียวถามอย่างกังวล พวกเขาเคยพูดกันแล้วว่า วันหลังไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่โกหกพ่ออีก แม่เองก็ยังเคยพูดเลยว่า การโกหกพ่อเท่ากับรังแกคนอ่อนแอ
หยูเหวินหลี่เองก็ลำบากใจมาก ได้แต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า “โกหกพ่อไม่ได้แน่ แต่จะให้พ่อรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“แล้วพี่ใหญ่จะพูดอย่างไรล่ะ?”
หยู่เหวินหลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ รอให้กลับถึงเมืองหลวงก่อน แล้วค่อย ๆ คิดไปแล้วกัน อย่างไรท้ายที่สุดเราก็ต้องหาวิธีผ่านมันไปจนได้ พวกเรารอให้กวากวากลับมาแล้วถามไถ่ให้รู้ความก่อนค่อยว่ากัน ”
ในดวงตาของทังหยวนปรากฏร่องรอยความโกรธเคือง “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของฮ่องเต้น้อยคนนั้นแท้ ๆ น้องสาวยังเด็กขนาดนี้ จู่ ๆ ไปแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาได้อย่างไรกัน? ใครเขาอยากเป็นฮองเฮาไม่ทราบ? เขาตอนนี้บอกว่าจะไม่มีสามวังหกตำหนัก ใครจะรู้ล่ะว่าพอโตขึ้นไปจะทำได้อย่างที่พูดจริง ๆ ?”
ทังหยวนมีนิสัยค่อนข้างอ่อนโยน นุ่มนวล เวลาพูดจาพาทีจะไว้หน้าคนประมาณสามส่วน คำพูดคำจาไพเราะหวานหู น้อยครั้งมากที่เขาจะโกรธใครให้เห็น
ในทางกลับกัน อารมณ์ของหยู่เหวินหลี่จะออกไปทางขี้โมโหขุ่นเคืองง่าย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ หยู่เหวินหลี่ก็นับว่าสงบสติอารมณ์ได้ดีทีเดียว
เขามีความกังวลประการหนึ่ง นั่นคือน้องสาวของเขาเริ่มมีใจแล้ว
น้องสาวมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกันมาโดยตลอด แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งเป็นการแสร้งทำ เพราะเลียนแบบจากอาจารย์แม่ของนาง ด้วยความที่นิสัยดั้งเดิมของกวาเอ๋อคือไฟ จึงร้อนแล้วระเบิดได้ง่าย หลายปีที่ผ่านมาอาจารย์แม่จึงได้สอนให้นางสงบนิ่ง ให้นางเป็นผู้ใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางหุนหันพลันแล่นจนเกินไป
และเพราะเหตุผลนี้เอง พวกเขาจึงรู้สึกเศร้าใจที่น้องสาวซึ่งอายุยังน้อยของพวกเขา ต้องแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ
กลุ่มพี่ชายทั้งหลาย ยกโขยงกันไปห้องของเจ๋อหลาน
ในห้องสะอาดมาก โดยพื้นฐานแล้วนางจะทำความสะอาดห้องด้วยตัวเอง นี่เป็นนิสัยที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องของตัวเองก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง
ในห้องมีตู้หนังสืออยู่หลังหนึ่ง มีหนังสือหลายเล่มอยู่ในตู้ พอลองสุ่มหยิบหนังสือออกมาดูก็พบว่ามีร่องรอยการอ่านบ้าง และบางเล่มก็มีการจดบันทึกด้วยลายมือ
มีหนังสือทางการแพทย์อยู่เป็นส่วนเล็ก ๆ ซึ่งเนื้อหาดูคลุมเครือเข้าใจยาก แต่เห็นได้ชัดว่าน้องสาวอ่านไปหลายรอบมาก เพราะหน้าหนังสือแลดูเก่าอยู่สักหน่อย มีรอยยับจากการพับและการพลิกอ่านจนเยินอย่างเห็นได้ชัด
นี่ช่างดูไม่เหมือนห้องเด็กผู้หญิงอายุสิบเอ็ดขวบเลยแม้แต่น้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะในตะกร้าที่ถูกหาเจอใต้เตียง มีตุ๊กตาซ่อนอยู่หลายตัว รวมถึงฟิกเกอร์อนิเมะอีกจำนวนหนึ่ง ก็คงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ ว่า นี่คือเด็กคนหนึ่งจริงๆ
แม้กระทั่งของเล่นนางก็ยังต้องซ่อน ไม่ยอมให้ใครเห็น
ชั่วขณะนั้น บรรดาพี่ชายทั้งหลายต่างก็รู้สึกปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
นับตั้งแต่น้องสาวเกิด นางก็รู้วิธีจุดไฟ เพื่อจะสะกดความสามารถนี้ไว้ ไม่ว่าใครก็สอนให้นางต้องใจเย็น ต้องสงบนิ่งมั่นคง ทั้งพ่อและแม่ต่างก็พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่ไม่รักไม่เอ็นดูน้องสาว แต่เพราะตอนนั้นทุกคนเองก็ไม่มีทางเลือก เพราะถ้านางไม่ฝึกสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ นางจะสามารถจุดไฟ จนทุกอย่างมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว
“ อันที่จริงน้องสาวมีชีวิตที่ลำบากมากเลยนะ เด็กที่เป็นแบบนี้ คนธรรมดาคงจะไม่ชอบ หรือไม่รู้สึกสงสารเอ็นดูหรอก ” เซเว่นอัพพูดงึมงำ
หยู่เหวินหลี่เก็บหนังสือของเจ๋อหลานกลับเข้าที่ ในดวงตามีแววของความเผด็จการน้อย ๆ “ไม่ต้องให้คนอื่นมาชอบก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องให้คนอื่นมาเอ็นดูด้วย นางมีพี่ชายตั้งห้าคนเชียวนะ”
“ใช่ น้องสาวของพวกเรา ทำไมต้องให้คนอื่นมาสงสารมาชอบด้วยล่ะ?”โค้กก็พูดเสริมอีกคน
ห้าพี่น้องมองหน้ากันแล้วยิ้ม
วันถัดมา คณะเดินทางของพวกเจ๋อหลานก็กลับมาถึง อ๋องเว่ยกับอ๋องอานวางแผนที่จะอยู่ในเมืองโร่ตูก่อนสักสองวัน ค่อยเดินทางกลับ
พอดีที่พวกหลานชายก็อยู่ที่นั่นกันหมด จึงรวมตัวกันกินข้าวอย่างพร้อมหน้า พูดคุยให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
เมื่อเจ๋อหลานเห็นว่าพี่ชายอยู่กันครบ ก็รู้ว่าทุกคนคงมาเพราะเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นจินแต่งตั้งฮองเฮาแน่ ๆ สุดท้ายผลเป็นไปตามคาด คือยังไม่ทันถาม พวกเขาก็ลากนางเข้าไปในห้องแล้ว
เจ๋อหลานมองดูสีหน้าจริงจังของพวกพี่ชาย ก็หลุดยิ้ม “พี่ชาย ทำไมถึงทำหน้าเหมือนได้เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจแบบนั้นล่ะ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร? เจ้ามีความรู้สึกดีสักเล็กสักน้อยต่อฮ่องเต้น้อยนั่นหรือไม่?”โค้กชิงถามก่อน
เจ๋อหลานถึงกับหลุดหัวเราะ “พี่สี่ เจ้าไปเรียกคนเค้าว่าฮ่องเต้น้อย คนเค้าแก่กว่าพี่อีกนะ”
“คนเค้า คนเค้า อะไรอยู่ได้? ฟังดูแปลกหูพิลึก ” หยู่เหวินหลี่ขมวดคิ้ว “เรียกว่าฮ่องเต้น้อยนี่ล่ะ”
เจ๋อหลานแลบลิ้น “เจ้าค่ะ พี่ชายใหญ่”
“ ตอบคำถามพี่สี่ของเจ้าก่อน เจ้าคิดว่าอย่างไร? คนเค้า …ฮ่องเต้น้อยนั่นแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?” แม้ว่าหยู่เหวินหลี่จะเอ็นดูน้องสาว แต่ในฐานะพี่ชาย โดยจิตใต้สำนึกเขาก็ยังต้องรักษาศักดิ์ศรีไว้เสียหน่อย
เจ๋อหลานนั่งลง สองมือยกขึ้นเท้าคาง “ไม่ได้คิดว่าอย่างไรทั้งนั้น”
“แล้วเจ้าไม่โกรธเลยรึ?” เซเว่นอัพถาม
เจ๋อหลานส่ายหน้า “ไม่โกรธหรอก ข้าสมควรโกรธด้วยรึ?”
ห้าพี่น้องต่างหันไปมองหน้าประสานสายตากันอุตลุด ไม่โกรธ? ถ้าไม่โกรธก็แสดงว่าชอบแล้วน่ะสิ? จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
“น้องหญิง เจ้ารู้สึกอย่างไรกับฮ่องเต้น้อยคนนั้นหรือ ? มีความรู้สึกว่าใจเต้นตึ๊กตั๊ก ๆ บ้างหรือไม่?” ทังหยวนอาศัยว่าตัวเองเคยอ่านนิยายมาหลายเล่มแล้ว เลยคิดว่าตัวเองคงถือว่าเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิง เวลาตกหลุมรักขึ้นมา หัวใจจะเต้นตึ๊กตั๊ก ๆ ให้รู้ว่าตัวเองเกิดอาการตกหลุมรักเข้าแล้ว
ในสมองของเจ๋อหลานผุดภาพฉากที่ได้พบกับจิ่งเทียน ภายในสำนักทงเทียนในวันนั้น ภาพรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเล็ก ๆ ที่สะอาดสะอ้านของเขา “อาการใจเต้นตึ๊กตั๊ก ๆ น่ะไม่มีหรอก แค่รู้สึกว่าตื่นเต้นนิดหน่อย รู้สึกว่ามีใครบางคนที่จดจำข้าได้อยู่เสมอ ทั้งยังทำอะไรตั้งหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อข้าด้วย รู้สึกซาบซึ้งใจอยู่เหมือนกัน”
“ ซาบซึ้งใจ….. เอ่อ ซาบซึ้งใจก็ต้องแยกให้ชัดเจนนะว่า ไม่ใช่อารมณ์แบบรักใคร่ซาบซึ้ง เช่นว่าถ้าพี่ชายซื้อของกินให้เจ้า เจ้าก็รู้สึกซาบซึ้งใจเหมือนกันใช่หรือไม่? ดังนั้น มันไม่ใช่อารมณ์แบบรักใคร่ซาบซึ้ง?” ทังหยวนพูดอย่างจริงจัง
“ พี่รอง พี่รู้เรื่องแบบนี้ด้วยรึ?” เจ๋อหลานมองเขาอย่างชื่นชม
ทังหยวนมองดูแววตาที่แฝงความชื่นชมน้อย ๆ ของนาง ในใจก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมา พอหันไปมองดูพี่น้องที่เหลือ บรรดาหนุ่มน้อยแต่ละคนต่างก็จ้องมองมาที่เขา แววตาของแต่ละคนบ่งบอกว่า รู้อะไรมาก็พูดออกไปอีกเยอะ ๆ พวกเราไม่รู้อะไรเลย
เขายืดเอวให้ตรงแล้วพูดว่า “รู้สิ อารมณ์รัก ๆ ใคร่ ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงก็เป็นแบบนี้เอง พวกเจ้าดูพ่อกับแม่สิ นั่นคือความรักใคร่ที่แท้จริง พวกเขาต่างก็ชอบกัน เจ้าคงไม่ได้ชอบฮ่องเต้น้อยแน่ ๆ ถูกหรือไม่ล่ะ?”
“ข้าว่าข้าก็ชอบพอสมควรเชียวล่ะ” เจ๋อหลานพูดตามความจริง
ดวงตาห้าคนสิบข้างเบิกโพลงขึ้นทันที “ชอบ?”
“ไม่ ไม่” ทังหยวนรีบโบกมือเป็นพัลวัน “นี่ไม่ใช่ความชอบ ที่เจ้าบอกว่าชอบ มันเทียบได้กับความชอบที่เจ้ามีต่อตุ๊กตาพวกนั้น ถูกหรือไม่?”
“มันค่อนข้างเหมือนกับความชอบที่มีต่อพวกพี่ชาย ชอบเหลิ่งหมิงหยู่ ชอบแม่นางโจวแบบนั้นมากกว่า ได้มองดูแล้วรู้สึกสบาย…” เจ๋อหลานพูดไป จู่ ๆ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “แต่มีบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก”
“มีอะไรทำให้ไม่สบายใจ? รีบพูดมาเร็วเข้า” หยู่เหวินหลี่พูดอย่างร้อนรน
เจ๋อหลานพูดว่า “เขาแกะสลักหยกชิ้นหนึ่งโดยยึดตามรูปร่างหน้าตาของข้า แต่แกะส่วนใบหน้าออกมากลมเกินไป ดูเด็กไปหน่อย ข้าไม่ชอบ”
ชั่วขณะนั้น หยู่เหวินหลี่ก็ร้องตะโกนก่นด่าขึ้นมาทันทีว่า “ดูสิ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ยังทำให้ดีไม่ได้ ไม่รู้หรือว่าน้องสาวข้าไม่ชอบเวลาที่นางมีใบหน้ากลม ๆ น่ะ? เหมือนเสด็จน้าเจ็ดเลย”
“ใช่!” น้องชายที่เหลือต่างเออออตามพี่เป็นปี่เป็นขลุ่ย