บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1626 ต่างคนต่างกลับเมืองหลวง
เซเว่นอัพเบ้ปาก “ข้าคิดว่าฮ่องเต้น้อยนั่นหน้าตาไม่เห็นจะดีสักเท่าไหร่ อายุก็พอ ๆ กับพี่ใหญ่ แต่ดูท่าทางแก่กว่าพี่ใหญ่เลย”
เจ๋อหลานตกตะลึง “พวกพี่เคยเจอเขาด้วยหรือ? อ๋อ พวกพี่ก็ไปที่นั่นด้วยใช่หรือไม่? ทำไมไม่ออกมาพบหน้าข้าล่ะ? ทุกคนซ่อนตัวกันอยู่สินะ?”
หยู่เหวินหลี่ปรายตามองเซเว่นอัพแวบหนึ่ง “ทำไมถึงได้ปากมากเช่นนี้นะ?”
“พวกพี่ไปแล้วกลับไม่ยอมไปหาข้า” เจ๋อหลานรู้สึกน้อยอกน้อยใจ
“ประเด็นหลัก ๆ คือเรารู้สึกแปลกใจที่เขาบอกว่าจะแต่งงาน เราเลยไปดู ๆ กันเสียหน่อย” หยู่เหวินหลี่เห็นว่าน้องสาวเริ่มเบะปาก ท่าทีก็อ่อนลง น้ำเสียงก็พลอยอ่อนโยนลงหลายส่วน “พอไปแล้วถึงได้รู้ว่าเจ้าถูกแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา เลยคิดว่าจะไปเจอหน้าฮ่องเต้จอมโอหังบังอาจนั่นสักหน่อย ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะหลบหน้าไม่ยอมออกมาพบเจ้า แค่อยากกลับไปรอเจ้าที่เมืองโร่ตู”
เจ๋อหลานก็ไม่ได้โกรธจริงจังอะไรนัก แค่คิดถึงพวกพี่ชายมาก พวกเขาไปถึงแคว้นจินแล้วแท้ ๆ กลับไม่ยอมออกมาทักทายเที่ยวเล่นกับนาง ถ้าได้ไปเที่ยวเล่นกับพวกเขาในแคว้นจิน คงจะมีความสุขมากเลยทีเดียว
ทุกคนต่างก็ช่วยกันโอ๋นางเป็นการใหญ่ จนกระทั่งน้องสาวหัวเราะออกมาได้ ถึงค่อยรู้สึกวางใจ
ข้าวเหนียวหันไปมองหยู่เหวินหลี่ “พี่ใหญ่ ข้ามีคำถามหนึ่ง อย่างไรก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว อยากจะถามพี่มาตลอดเลยว่า ตอนที่อยู่แคว้นจิน ทำไมพี่ไม่ปล่อยให้พวกเราลงไปสั่งสอนฮ่องเต้น้อยนั่นล่ะ? เขาน่ารังเกียจตั้งขนาดไหน ยังไม่ถามความเห็นพวกเราเลย ก็จะแต่งกับน้องสาวแล้ว”
หยู่เหวินหลี่ยกเสื้อคลุมขึ้น ไปนั่งลงข้าง ๆ เจ๋อหลาน มองดวงตาที่ฉายแววไม่เข้าใจของข้าวเหนียวกับน้องชายอีกสามคน แล้วพูดขึ้นว่า “เพราะสถานะ”
“พี่หมายความว่าเพราะเขาเป็นฮ่องเต้ พวกเราเลยแตะต้องเขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” ชั่วขณะนั้น ข้าวเหนียวรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที นี่ไม่ใช่เพราะกลัวฐานันดรของคนเค้า เลยไม่กล้ารังแกคนเค้าหรอกรึ?
พี่ชายกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หยู่เหวินหลี่ใช้มืออันใหญ่โตจับที่ใบหูของเขา แล้วดึงเข้ามา จากนั้นก็พูดว่า “เพราะสถานะของพวกเรา แล้วก็เพราะสถานะของเขาด้วย การแลกเปลี่ยนกันฉันท์มิตรระหว่างประเทศเป็นผลมาจากความพยายามของผู้คนจำนวนมาก แม้กระทั่งการเสียสละเลือดเนื้อก็ด้วย เราจะใช้อารมณ์จัดการปัญหาได้หรือ? พวกเราห้าคนไปถึงแคว้นจิน จับตัวฮ่องเต้ของแคว้นเขามาซ้อมจนน่วม เจ้าอยากให้ทั้งสองประเทศบาดหมางกันใช่หรือไม่? ”
ข้าวเหนียวเอามือกุมใบหู แล้วพูดอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกเราไม่ซ้อมเขาก็ได้ เปลี่ยนเป็นเล่นลูกไม้แกล้งเขาแทนก็ได้นี่?”
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว? จะเล่นลูกไม้แกล้งเขาไปเพื่ออะไรไม่ทราบ?” หยู่เหวินหลี่คร้านจะสนใจคุยเหตุผลกับเขาแล้ว แม้จะบอกเขาว่าพวกเขาเกิดวันเวลาเดียวกัน แต่ทำไมเขาถึงได้งี่เง่าอ่อนต่อโลกขนาดนี้นะ?
ถ้าคิดจะระบายโทสะจริง ๆ ต้องฉกฉวยผลประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนระหว่างสองแคว้นมาให้ได้มากที่สุด นี่ต่างหากถึงจะเป็นการระบายโทสะที่แท้จริง ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนด้วย
“ พี่สาม ที่พี่ใหญ่พูดมา เราทุกคนสามารถคิดตามจนเข้าใจได้หมดแล้ว ทำไมพี่ถึงไม่ฉลาดเหมือนพวกเราเลยล่ะเนี่ย?” โค้กถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
ข้าวเหนียวพูดอย่างไม่พอใจว่า “ใครจะไปทันคิดล่ะ? เราทุกคนไม่ใช่ว่าคิดเพื่อน้องสาวกันหรอกหรือ? จู่ ๆ ก็พูดถึงเรื่องของสองแคว้น ข้าก็แค่ไม่ทันได้คิดถึงไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ความอะไรขนาดนั้น พอตอนนี้พี่ใหญ่พูดมา ข้าก็เข้าใจแล้วล่ะน่า”
ในบรรดาพี่น้องทั้งห้าคน ข้าวเหนียวเป็นคนที่มีความคิดอ่านไร้เดียงสาที่สุด แม้แต่โค้กกับเซเว่นอัพก็ยังมีความคิดอ่านที่โตกว่าเขานิดหน่อย ตอนนี้เขากำลังเรียนด้านการแพทย์แผนจีน ในยุคปัจจุบัน เขายังได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีความเก่งกาจในศาสตร์การแพทย์แผนจีนด้วย ทั้งยังมีคุณย่าหยวนช่วยแนะนำ แม้จะบอกว่าไร้เดียงสา แต่สุดท้ายเขาก็เก่งกาจและฉลาดเฉลียวไม่น้อย ดังนั้นในหลายปีให้หลังมานี้ อาจารย์ผู้เฒ่าก็ไม่มีอะไรที่จะสอนเขาได้อีกต่อไปแล้ว
หยู่เหวินหลี่พูดว่า “กลับไปคุยเรื่องของน้องสาวก่อน กวาเอ๋อ พี่ใหญ่จะบอกเจ้าให้นะ ว่าผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษและอันตรายมาก ก่อนที่เจ้าจะอายุครบยี่สิบ อย่าได้พยายามจะทำความเข้าใจผู้ชาย เจ้าจำเป็นต้องมีประสบการณ์ชีวิตที่มากพอ ต้องมีประสบการณ์ที่มากพอใช้รับมือกับพวกผู้ชายกาก ๆ ได้ ค่อยไปทำความเข้าใจใกล้ชิดผู้ชาย ให้ดีที่สุดคือรอให้ถึงสามสิบก่อนค่อยคิดเรื่องแต่งงาน รู้หรือไม่?”
เจ๋อหลานพูดอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้ว พวกพี่ชายวางใจเถอะ ข้ามีขอบเขตของข้าอยู่”
พวกพี่ชายไม่มีทางวางใจได้ไปตลอดกาลนั่นแหล่ะ
พวกเขาก็เหมือนกับพ่อ รู้ว่าน้องสาวมีความสามารถพิเศษที่ร้ายกาจมาก แต่พวกเขาก็ยังมีเรื่องให้ต้องกังวลอยู่ดี
“ ถ้าอย่างนั้นเราไปกินข้าวกับท่านลุงกันเถอะ หลังจากกินข้าวเสร็จ พี่ใหญ่ก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว พ่อรู้เรื่องที่ข้าออกจากค่ายไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วล่ะ” หยู่เหวินหลี่เอื้อมมือไปลูบ ๆ ที่หน้าผากของน้องสาว มีท่าทางยากจะตัดใจไม่อยากจากไป
ในจวนมีการจัดเตรียมโต๊ะที่วางอาหารและเหล้าที่ดูหรูหราโอ่อ่าจนเต็ม เด็กหนุ่มทั้งหลายพากันไปเชิญลุงมาร่วมกินข้าวด้วยกัน ทั้งยังมีการสั่งเหล้ามาด้วยนิดหน่อย
โค้กกับเซเว่นอัพยังดื่มไม่ได้ หยู่เหวินหลี่เคร่งครัดกับพวกเขามาก ต้องรอให้อายุครบสิบหกปีก่อนถึงจะดื่มได้
ดังนั้น พวกเขาจึงทำได้แค่นั่งมองตาปริบ ๆ เท่านั้น
ยังดีที่ในเมืองโร่ตูมีเหล้าผลไม้ ซึ่งแม่นางโจวช่วยหมักให้เป็นพิเศษสำหรับเจ๋อหลาน เหล้าผลไม้หลังผ่านการหมักบ่ม เปลี่ยนขวดภาชนะและการตกตะกอนหลาย ๆ ครั้ง ก็จะไม่มีกลิ่นเหล้า ถ้าพูดกันตรง ๆ ก็คือน้ำผลไม้ดี ๆ นี่เอง
อ๋องอานวางหนังสือแต่งตั้งฮองเฮาและหนังสือแสดงสมบัติลงบนโต๊ะ จะน่าชื่นชมโสมนัสหรือไม่นั้นไม่อาจบอกได้ แต่มีความลำบากใจที่ทุกคนต้องร่วมกันแบกรับแน่นอนแล้ว
อ๋องเว่ยรินเหล้าให้เขา “ดื่มเถอะ ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้าสิ ต่อให้เจ้าห้าจะรู้เรื่องนี้จริง เขาก็ทำได้แค่โทษแผนดักของฮ่องเต้น้อยนั่นเท่านั้น อย่างไรก็ไม่โทษความโง่เขลาของเจ้าหรอก”
“ เจ้าก็พูดแบบนี้ได้สิ ถ้าเจ้าเป็นคนรับหนังสือแสดงสมบัติเล่มนี้ เจ้าคงไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลอะไรทั้งสิ้นเลยล่ะสิท่า” อ๋องอานแค่นเสียงปรามาส
อ๋องเว่ยพูดจิกกัดเขาแบบไม่ขอคำปรึกษาแม้แต่น้อย “รู้ตัวแล้วหรือว่า ตัวเองสร้างเรื่องผิดบาปน่าเกลียดชังไว้ขนาดไหน ? เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าไม่ต้องถูกลงโทษจากทุกสิ่งที่เจ้าทำลงไป? เจ้าจงชดใช้หนี้กรรมไปตลอดชีวิตที่เหลือของเจ้าเสียเถอะ หากไม่ใช่เพราะเจ้ายังรู้จักสำนึกกลับเจ้ากลับใจ ทุ่มเทสร้างความชอบให้แก่เป่ยถังแล้วล่ะก็ หัวเจ้ามีหวังได้ปลิวไปตั้งนานแล้ว เจ้าก็หัดรู้จักพอเสียบ้างเถอะ”
“เอาเถอะน่า อย่าพูดคำพูดพวกนี้ต่อหน้าเด็ก ๆ เลย ” อ๋องอานพูดอย่างขุ่นเคือง
“ไม่ใช่ว่าเด็ก ๆ จะไม่รู้เสียหน่อย เรื่องนั้นของเจ้า ทุกคนทั่วหล้าต่างก็รู้ดี เจ้าคิดว่าเจ้าผูกรัดไว้แน่นหนาดีแล้วอย่างนั้นรึ?” อ๋องเว่ยเยาะเย้ย
เด็กวิเศษทั้งหกต่างหันมองหน้ากัน รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินเรื่องราวในอดีตเหล่านี้มาหมดแล้ว แต่ทำไมลุงสามถึงยังเอาแต่พูดถึงไม่เลิกสักทีนะ? นี่มันก็ผ่านไปนานมากแล้วแท้ ๆ.
อ๋องเว่ยตบไหล่ของหยู่เหวินหลี่ จากนั้นก็มองเด็กคนอื่น ๆ พลางพูดว่า “ลุงสามแค่อยากใช้เรื่องของเขาเป็นตัวอย่างเพื่อบอกพวกเจ้าว่า อย่าได้ทำเรื่องชั่วช้าผิดศีลธรรม แม้แต่เรื่องเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าทำลงไปแล้ว มันจะกลายเป็นความอัปยศไปชั่วชีวิต ต่อให้โชคดีรักษาซากร่างไว้ได้ แต่ก็จะโดนคนยกขึ้นมาพูดจาทิ่มแทงได้เรื่อย ๆ ตอกย้ำให้เขารู้ว่าคนที่ไม่รักพี่รักน้อง มาดหมายจ้องจะทำร้ายพี่น้อง จะมีจุดจบเช่นไร ”
เด็ก ๆ ทุกคนพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับคำสอนของท่านลุงสาม”
อ๋องเว่ยไม่รู้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้มีความสามารถเพียงใด แต่ก็รู้ว่าพวกเขาฉลาดมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังอยู่ในเมืองปราการที่ห่างไกลพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ ในมือพวกเขามีอำนาจ จึงกลัวว่าพวกเขาจะคิดผิดไปชั่วขณะ ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในรุ่นของพวกเขา ไม่ควรจะเกิดขึ้นในรุ่นของพวกเด็ก ๆ เหล่านี้อีก
เขาหวงแหนรักใคร่บรรดาหลานชายหลานสาวเหล่านี้มาก และหวังว่าพวกเขาจะรักใคร่กลมเกลียว เป็นพี่น้องที่สามัคคีกันไปตราบจนชั่วชีวิต
อ๋องอานไม่พูดอะไร แค่ก้มหน้าดื่มเหล้าไปเงียบ ๆ
ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา ได้กลายเป็นสื่อการสอนเชิงลบให้คนรุ่นหลังไปแล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จ อ๋องเว่ยก็ลากเขาออกไปคุยข้างนอก “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงต้องว่าเจ้าแบบนั้นต่อหน้าพวกเปาเอ๋อ?”
อ๋องอานพูดอย่างหดหู่ว่า “รู้สิ ต้องการย้ำเตือนให้พวกเขาระวังไม่ใช่หรือ?”
“มีอีกจุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อจะปกป้องเจ้า ให้ชีวิตสุนัขของเจ้าได้ยืนยาวต่อไปอีกสักหน่อย ในวันข้างหน้าเปาเอ๋อย่อมขึ้นเป็นฮ่องเต้ ตอนนี้เจ้าห้ายังพอจะปกป้องเจ้าได้ แค่ส่งเจ้ามาใช้ชีวิตในดินแดนที่มีแต่ลมผสมทรายนี่ แต่ไม่ได้ลิดรอนอะไรไปจากเจ้า แต่เปาเอ๋อนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเปาเอ๋อไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันฉันพี่น้องแบบเดียวกับที่เจ้าห้ามีต่อเจ้า การที่รู้ว่าเจ้าเคยทำร้ายพ่อแม่ของเขาในอดีต ก็ไม่แน่ว่าจะไม่จัดการเจ้า การที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเขา ก็เพราะอยากให้เขารู้ว่าถึงแม้ว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ทุกคนก็ยังไม่ลืมสิ่งที่เจ้าทำลงไป ในใจเขาจะได้รู้สึกว่ามีความเท่าเทียมขึ้นมาอีกนิด”
อ๋องอานตกใจจนผงะ หันไปมองอ๋องเว่ย “พี่สาม เจ้าควรเป็นคนที่เกลียดข้าที่สุด เจ้ายกโทษให้ข้าแล้วจริง ๆ น่ะรึ?”
“ข้าไม่อยากคิดแล้วว่าจะให้หรือไม่ให้อภัยเจ้าดี มันเหนื่อยเกินไป เมืองชายแดนแห่งนี้ต้องการใครซักคนคอยคุ้มกัน ข้าโกรธแค้นขุ่นเคืองเจ้า หาเรื่องทะเลาะกับเจ้า นี่ไม่ใช่การเพิ่มความวุ่นวายให้กับเจ้าห้าหรอกหรือ? เมืองชายแดนเปลี่ยนแม่ทัพ มักเกิดความวุ่นวายได้ง่าย เห็นแก่หน้าที่ส่วนนี้แล้ว ข้าก็พยายามจะไม่นึกถึงเรื่องราวในอดีตอีก”
อ๋องอานไม่พูดอะไร เขารู้ดีว่า เขาจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนแบบนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่แน่นอนแล้ว
“กลับกันเถอะ เปาเอ๋อกำลังจะกลับเมืองหลวงแล้ว พวกเราก็คงจะอยู่ที่นี่กันอีกไม่นาน ส่วนเรื่องของฮ่องเต้น้อยแคว้นจิน แม้ว่ากวาเอ๋อจะบอกว่านางจะไม่บอกเจ้าห้า แต่เจ้ากลับไปคิดใคร่ครวญดูดี ๆ แล้วกัน หรือไม่ก็ส่งจดหมายไปบอกเขาสักฉบับก็ได้”