บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1633 ไม่ฟัง ไม่ฟัง
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงยามจื่อแล้ว นางก็รีบกลับไปที่ตำหนักเสี้ยวเยว่ทันที
ทันทีที่เข้าไปในห้องแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอน เจ้าห้าก็กลับมาแล้ว ลู่หยาช่วยเขาแขวนชุดคลุมตัวนอก มู่หรูกงกงยกน้ำชามาให้แล้วถอยออกไป ฉี่หลอเป่าไฟที่หน้าระเบียงให้ดับ เหลือไฟเพียงดวงเดียว จากนั้นทุกคนก็ไปนอนกันหมด
หยู่เหวินเห้ากอดหยวนชิงหลิง พลางจูบที่หน้าผากเบา ๆ “ไม่ต้องรอข้าหรอก ถ้าเจ้าง่วงก็นอนก่อนเถอะ”
“ ข้าเพิ่งจะดูข้อมูลการวิจัยเสร็จ ไม่ได้ตั้งใจรอเจ้าหรอก เหนื่อยมากใช่หรือไม่? คืนนี้ไม่ต้องอาบน้ำแล้วจะดีกว่า”
แต่เจ้าห้ากลับส่ายหน้า “นอนไม่หลับ ข้าโกรธไปหมด อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยนะ เล่าเรื่องของลูก ๆ ให้ข้าฟังมาดีกว่า”
เขาขึ้นไปนั่งบนเตียงหลัวฮั่น ยืดตัวไปข้างหลัง มีท่าทางเหนื่อยเล็กน้อย สาเหตุหลัก ๆ คือเพราะโกรธกับความเหนื่อยสะสมจากเวลาปกติ นางไม่เคยเห็นเขาเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน
หยวนชิงหลิงวางหมอนนุ่ม ๆ ไว้ที่ช่วงเอวของเขา แล้วคุกเข่าลงข้าง ๆ เพื่อช่วยนวดคลึงที่หว่างคิ้วและขมับของเขา เวลาที่เขาหงุดหงิด เขามักจะปวดหัวได้ง่าย
“กวาเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง? วันนี้ยังไม่ได้ฟังเจ้าเล่ารายละเอียดเลย ข้าเองก็ยุ่ง ๆ อยู่ด้วย” เขาลืมตาขึ้นมองดูหยวนชิงหลิง จับมือนางไว้ไม่ให้นางนวดต่อ เหยียดแขนออกไปโอบรัดตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “เจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ ไม่ต้องนวดให้ข้าหรอก อีกสักพักข้าจะนวดไหล่ให้ ขอหายใจหายคอครู่หนึ่งก่อน ”
หยวนชิงหลิงเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “กวาเอ๋อไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ไม่มีผลอะไรกับนาง นางบอกว่าวันข้างหน้านางจะแต่งงานกับใครสักคน นางจะแต่งกับคนที่ท่านพ่อชื่นชม”
ชั่วขณะนั้น เจ้าห้าก็มีท่าทางภูมิอกภูมิใจมาก ใบหน้าเผยรอยยิ้มกว้าง ความเหนื่อยล้าดูเหมือนจะสลายหายไปในชั่วพริบตา จริงรึ? นางพูดอย่างนั้นจริง ๆ น่ะรึ?
“แน่นอนสิ เจ้าคือไอดอลของนางเชียวนะ”
เจ้าห้ากระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที ลุกขึ้นมานั่งตัวตรง “ข้ารู้ว่าไอดอลคืออะไร ดูเหมือนว่า นอกจากจะพัฒนาเรื่องวรยุทธ์แล้ว ข้ายังต้องอ่านหนังสือให้เยอะ ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มเติมความรอบรู้ให้ตัวเอง การจะเป็นไอดอลนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะทำให้นางผิดหวังไม่ได้ ”
“พูดถึงความสามารถพิเศษ…” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นจากอ้อมแขน แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่จะต้องบอกเจ้า”
“เรื่องอะไรรึ? เรื่องของกวาเอ๋อ?” หยู่เหวินเห้าเริ่มมีสีหน้าจริงจัง
“ไม่ใช่ เป็นเรื่องของเจ้า เจ้ายังจำครั้งก่อนที่เจ้าอยู่ที่ชายหาดได้หรือไม่? ที่เจ้ากับสวีอีเล่นกระดานโต้คลื่นกัน.…”
“ นั่นไม่เรียกว่าโต้คลื่น นั่นคือเรือยนต์” หยู่เหวินเห้าแก้ไขคำพูด
“ได้ ๆ มันคือเรือยนต์ แล้วเจ้าก็เอาแต่ตะโกนว่าอยากให้มีคลื่น ผลสุดท้ายคือมีคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดมาไม่หยุด เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า ตัวเจ้าเองสามารถเรียกลมสร้างคลื่นได้?”
หยู่เหวินเห้าถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะ “เจ้าหยวน ที่เจ้าพูดมามันช่างน่าขำเสียจริง”
“น่าขำอย่างนั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองจริงจังมาก
“น่าขำสิ อะไรคือเรียกลมสร้างคลื่น ทะเลมันก็ต้องมีคลื่นเป็นธรรมดา พอดีกับตอนที่พวกเราไปถึง ลมพัดค่อนข้างแรงก็เท่านั้น”
“ วันนั้น ถ้าจะว่าไปก็นับว่าคลื่นลมสงบ แถว ๆ นั้นก็ไม่มีเรือผ่านไปมาเลย เจ้าเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าทำไมคลื่นถึงได้สูงขนาดนั้น? อีกทั้งพอเจ้าเรียกคลื่นครั้งหนึ่ง คลื่นก็มาตามที่เรียก มันไม่น่าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนั้นได้หรอก”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “วันนั้นไม่มีลมหรือ? ทำไมข้าถึงจำได้ว่าลมพัดแรงมากล่ะ มันพัดจนทำให้ผมของข้าตั้งตรงเชียวนะ?”
“ นั่นเป็นเพราะว่า เจ้ากำลังขับเรือยนต์ด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก แน่นอนว่าเจ้าย่อมรู้สึกถึงลมเป็นธรรมดา แต่ในความเป็นจริงวันนั้นไม่มีลม และถึงแม้ว่าจะมีลม ก็ไม่สามารถก่อคลื่นที่มีขนาดใหญ่แบบนั้นขึ้นมาได้ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าสวีอีตกใจจนอกสั่นขวัญหายไปเลยน่ะ? ”
“สวีอีคนนี้น่ะรึ? เอะอะอะไรก็ตกอกตกใจได้หมดทุกอย่างนั่นล่ะ แค่เจ้าเปิดพัดลม แล้วเปิดเบอร์แรง ๆ หน่อย ก็ทำให้เขาตกใจจนปากเบี้ยวได้แล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงพยุงไหล่ของเขา แล้วพูดในลมหายใจเดียวว่า “ไม่ใช่ เจ้าห้าเจ้าฟังข้านะ ครั้งนี้ที่เจ้าล้มป่วย แล้วยาที่สวีอีฉีดให้เจ้าเข็มนั้น เป็นการให้ยาผิด มันคือยาที่ข้ากำลังค้นคว้า ซึ่งยังอยู่ในขั้นแรกของระยะทดลองในสัตว์ สรุปโดยย่อคืออาจเป็นเพราะเหตุบังเอิญ หรือเพราะความผิดพลาดมากมายหลายประการ ที่นำพาให้เจ้ามีความสามารถหนึ่ง ซึ่งจัดอยู่ในประเภทความสามารถในการควบคุมน้ำ คลื่นในทะเลวันนั้น มันเกิดจากแรงผลักดันทางความคิดของเจ้า เกิดจากตัวเจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมา”
หยู่เหวินเห้ามองนางด้วยสายตาแน่วนิ่ง ในดวงตาดูเหมือนมีแสงสว่างวาบสายหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนไม่มี หยวนชิงหลิงจ้องมองเขาอย่างจริงจัง คาดหวังว่าเขาจะยอมรับมันได้โดยดี
แต่เมื่อสองคนสี่ตาจ้องมองกันไปมา สุดท้ายหยู่เหวินเห้าก็หาวออกมา แล้วถามว่า “หยวน เจ้ากำลังพูดถึงความสามารถพิเศษที่เหมือนพวกเจ้าอย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นับว่าใช่แล้วกัน แต่ก็ยังมีส่วนที่แตกต่างจากของพวกเราด้วย”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ “อย่าพูดอะไรโง่ ๆ เลยน่า ไปนอนเถอะ ข้าเริ่มง่วงนิดหน่อยแล้ว จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง ครั้งนี้ข้าส่งสวีอีกับคนจากกรมข้าราชการพลเรือนไปที่เมืองจี๋โจว อยากให้เปาเอ๋อได้ตามไปเรียนรู้สักหน่อย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“โอ้ ได้สิ ” หยวนชิงหลิงตะลึงงัน “กลับมาคุยกันเรื่องความสามารถในการควบคุมน้ำของเจ้าก่อน…”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นหาวอีกครั้ง “ฮ้าว ข้าง่วงแล้วจริง ๆ นะ ไม่พูดแล้วดีกว่า มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าหยวน ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากให้ข้ามีพลังพิเศษเหมือนพวกเจ้ามาโดยตลอด แต่เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ตัวเองดียิ่งขึ้น เจ้าวางใจเถอะ”
“ไม่ใช่นะ” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นเดินตามเขาไปอย่างกระชั้นชิด “ข้าพูดเรื่องจริง ทำไมเราไม่ลองดูล่ะ? ในวังก็มีมีทะเลสาบอยู่นะ”
“ไม่ล่ะ ข้าง่วงแล้ว นอนเถอะ ” หยู่เหวินเห้ากระโดดขึ้นไปบนเตียง แล้วยกผ้าห่มขึ้นห่ม “ข้าง่วงมากเลย”
หยวนชิงหลิงอึ้งตะลีตะลานแล้วจริง ๆ เดิมทีนางคิดว่าเจ้าห้าคงจะตื่นเต้นบ้าง แต่ทำไมถึงกลายเป็นหลีกหนีไปแทนได้ล่ะ? เขากลัวอย่างนั้นรึ?
“เจ้าห้า เจ้าฟังที่ข้าบอกก่อนสิ ความสามารถนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เจ้าแค่ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันเท่านั้นเอง…..”
“ เจ้าหยวน เจ้าบ่นอะไรไม่จบไม่สิ้นเสียที ข้าง่วงมากเลย เจ้ารีบขึ้นมานอนเถอะ” หยู่เหวินเห้าเหยียดมือออกไปดึงตัวนาง นางล้มลงไปทับเขา สองมือยกขึ้นแตะที่หน้าอกของเขา แต่ก็ถูกเขากดรั้งไว้อีกครั้ง
หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่าเขาจะต่อต้านเรื่องนี้มากขนาดนี้ แต่คิด ๆ แล้วก็ไม่สามารถบังคับให้เขายอมรับได้ รอให้เขาทำธุระสำคัญเสร็จแล้ว ค่อยไปคุยกับเขาช้า ๆ ก็แล้วกัน
หลายวันมานี้ทั้งวิ่งไปวิ่งมา ทั้งมีเรื่องให้ขบคิดมากมาย จึงรู้สึกเหนื่อยมากจริง ๆ พอหลับตาลงก็ผล็อยหลับไปทันที
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ขณะที่สะลึมสะลืออยู่ ก็ได้ยินเสียงเจ้าห้าเรียกนางเบา ๆ สองครั้ง ยังไม่ทันที่นางจะลืมตาขึ้นตอบรับ แขนของเจ้าห้าก็ถูกดึงกลับออกไปจากใต้คอที่หนุนอยู่ของนางอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเจ้าตัวก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงเบา ๆ เขย่งปลายเท้า เปิดประตูแล้วเดินออกไป
พอหยวนชิงหลิงลืมตาขึ้น ทันได้เห็นเงาด้านหลังของเจ้าห้าที่กำลังเดินออกไปพอดี
นางลุกขึ้นนั่ง ในใจรู้สึกสงสัย ดึกขนาดนี้แล้วแท้ ๆ จะไปไหนกันนะ?
นางลุกจากเตียงสวมรองเท้า แล้วเดินตามออกไปอย่างเงียบ ๆ
เจ้าห้าตรงดิ่งไปยังทะเลสาบเทียมในวัง ทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดที่อยู่เวรกลางคืน ถูกเขาสั่งให้ออกไปจนหมด เขายืนอยู่ริมทะเลสาบ มีโคมไฟสองสามดวงแขวนอยู่ริมฝั่ง ส่องแสงพร่างพรายไหวระยับกระจายตัวอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบ ชั่วขณะที่สายลมโชยพัดผ่านผิวทะเลสาบ จุดดวงไฟก็แกว่งไหวไปมา ราวกับกระทงไฟที่ล่องลอยอยู่ในทะเลสาบก็ไม่ปาน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าเคร่งเครียดจริงจังอย่างยิ่ง ค่อย ๆ เหยียดมือออกไป ชี้ไปที่ทะเลสาบแล้วพูดว่า “คลื่นจงมา!”
จากนั้น เขาก็มองไปที่ทะเลสาบอย่างแน่วแน่
พื้นผิวของทะเลสาบ ถูกลมพัดไหวพะเยิบพะยาบไปตามสายลม แต่ไม่มีทีท่าว่าจะโบกสะบัดพัดเป็นคลื่นอย่างที่เขาร้องสั่ง
เขาไม่ยินยอม ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกก้าวแล้วชี้ไปที่ทะเลสาบ สั่งว่า “คลื่น จงมา ๆ ๆ !”
ทะเลสาบยังคงเป็นเช่นเดิม
เขากัดฟันกรอด ย่ำ ๆ เท้าสองสามครั้ง บิด ๆ นิ้วเพื่อเตรียมแสดงท่าทางเต็มที่ จากนั้นก็ร้องตะโกนด้วยท่วงท่าอันสง่างามว่า “จงมา จงมา คลื่นจงมา!”
ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม
ไหล่ของเขาค่อย ๆ ห่อเหี่ยวลง ท่าทางท้อแท้ใจอย่างมาก ตอนที่เจ้าหยวนพูดอย่างนั้น จริง ๆ แล้วในใจเขาตื่นเต้นมาก แต่แค่ไม่กล้าตอบรับ เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดของเจ้าหยวน มาตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่ามันไม่ใช่ โชคดีแล้วที่เจ้าหยวนไม่ได้มาเห็น ไม่อย่างนั้น นางจะผิดหวังสักแค่ไหน!
อันที่จริง เขารู้มาตลอดว่าเจ้าหยวนกับลูก ๆ อยากให้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ เขาไม่สามารถบอกให้พวกเขารู้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วเขาคาดหวังมาก ไม่อย่างนั้นในใจของพวกเขาคงจะรู้สึกทรมานมากอย่างแน่นอน โชคดีที่เขาออกมาลองดูก่อน ต่อให้สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ ก็จะมีแค่เขาคนเดียวที่ต้องรู้สึกผิดหวัง