บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1637 เจ้าห้าผู้แสนจะภาคภูมิใจ
หลังกินมื้อกลางวันเสร็จ นางก็ขึ้นไปบนยอดเขาคนเดียวตามลำพัง จ้องมองไปทางเมืองหลวงของแคว้นจินที่อยู่ในระยะไกล ๆ ลมพัดแรงมาก ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะกลับถึงแคว้นจินแล้วหรือยังนะ?
เดิมทีคิดว่าอยากจะรั้งอาจารย์ให้อยู่นานขึ้นอีกสักสองวัน แต่เขากลับมีท่าทางราวกับถูกน้ำร้อนลวกเท้าก็ไม่ปาน รีบร้อนจะกลับไปที่แคว้นจินให้จงได้ หาได้ยากมากที่ท่านอาจารย์จะใส่ใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากขนาดนี้
เมื่อย้อนคิดถึงเสียงเบา ๆ เมื่อครู่นี้ นางคิดว่านั่นจะใช่อาจารย์หรือไม่นะ? แต่เอาเข้าจริง น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนพ่อมากกว่า
นางคิดถึงเรื่องที่แม่พูดเกี่ยวกับพ่อ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่คลื่นความคิดของพ่อจะส่งสัญญาณมาได้ไกลขนาดนี้?
นางกระตุ้นพลังความคิด แล้วตอบไปประโยคหนึ่งว่า “พ่อ ข้ากินแล้ว ท่านกินหรือยัง?”
ในห้องทรงพระอักษรในวังที่เมืองหลวง โสวฝู่เหลิ่งกับท่านชายสี่ ทังหยาง รวมทั้งบรรดาท่านอ๋องกับขุนนางหลายคน กำลังหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปสาขาวิทยาศาสตร์
ท่านชายสี่กำลังแสดงความคิดเห็นบางอย่าง พูดอย่างน้ำไหลไฟดับ ทุกคนฟังจนคล้อยตาม แต่แล้วพวกเขาก็เห็นว่าหยู่เหวินเห้าเอียงหัวไปทางด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็ตบโต๊ะผาง ผุดลุกพรวดขึ้นมาด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่ง ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “กินแล้ว กินแล้วล่ะ กินปลาเปรี้ยวหวาน รสชาติอร่อยถูกปากยิ่งนัก”
ไม่ต้องกังวลกับความตื่นเต้นนี้ และไม่ต้องกังวลกับเสียงร้องตะโกนนี้ด้วย คนส่วนใหญ่มองเขาด้วยความประหลาดใจ
แต่ชั่วขณะที่เขาตบฝ่ามือนี้ลงไป แก้วน้ำที่วางอยู่ข้างหน้าก็ลอยละลิ่วออกไป กระแทกใส่ใบหน้าของท่านชายสี่ที่พูดเป็นต่อยหอยอย่างเหมาะเหม็ง กระแทกโดนจมูกยังไม่เท่าไหร่ แต่น้ำยังหกใส่เขาแบบเต็มตัว ชนิดเปียกโชกเลยทีเดียว
ท่านชายสี่กับทุกคนต่างจ้องมองเขาเป็นตาเดียว ลุกขึ้นช้า ๆ สะบัด ๆ น้ำบนร่างกาย ใบหน้าราบเรียบเฉยชา “คำขอโทษ คำอธิบาย!”
หยู่เหวินเห้ายังคงมีท่าทางตื่นเต้นยินดีมาก เขายื่นมือออกไปจับไหล่ของท่านชายสี่ รอยยิ้มของเขากว้างมากจนแทบจะฉีกไปถึงใบหูอยู่แล้ว “ซี่ซี่ เจ้าพูดต่อเลย ข้าฟังอยู่ ข้ามีความสุขมากที่ได้ยินมัน น่าตื่นเต้นเหลือเกิน ข้อเสนอแนะของเจ้าดีมาก คนโบราณบุกเบิกคนรุ่นหลังเปล่งประกาย ไม่มีคนโบราณที่ลองผิดลองถูก ก็จะไม่มีคนรุ่นหลังที่ทำต่อจนสำเร็จ เจ้าช่างเหมาะสมกับการเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของเป่ยถังจริง ๆ เจ้าพูดได้ดียิ่งนัก”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดด้วยท่าทีชืดชาว่า “ข้าต่างหากที่เป็นโสวฝู่ของเป่ยถัง”
“ฝ่าบาท ท่านพักผ่อนสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืนท่านทรงเหน็ดเหนื่อยเกินไปใช่หรือไม่?” มู่หรูกงกงรีบก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าเริ่มวิตกกังวลอีกครั้ง การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ แทบจะทำให้เขาหัวใจวายตายให้ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าแค่เดินละเมอหรอกหรือ? ประชุมข้อราชการอยู่ยังหลับได้อีกหรือนี่?
ดู ๆ ไป เหมือนว่ายังต้องไปรายงานฮองเฮาเสียหน่อยแล้ว
“ ไม่ต้องพักหรอก พูดต่อไปเถอะ ข้าฟังอยู่! ” หยู่เหวินเห้าโบกมือแล้วนั่งลงอีกครั้ง พยายามปรับลดความยินดีในหัวใจลงมาช้า ๆ คืนนี้เลิกงานแล้วค่อยไปคุยกับกวาเอ๋อให้หนำใจ ตอนนี้งานตรงหน้าสำคัญที่สุด
ที่เหมืองแร่บนเขาในเมืองโร่ตู เจ๋อหลานนั่งลง แย้มยิ้มเบิกบานดุจดั่งดอกไม้ที่ผลิกลีบอวดความงามบนยอดเขา ที่แท้ก็เป็นพ่อจริง ๆ ด้วย เขาทำได้อย่างไรกัน? โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแท้ ๆ
ตอนที่แม่มาก็ไม่ได้บอกว่า พ่อมีความสามารถในการสื่อสารทางจิตกับพวกเขาได้ หรือบางทีแม่อาจจะลืมไป
กินปลาเปรี้ยวหวาน? ของกินที่ออกรสเปรี้ยว ๆ หวานๆ แบบนั้น อันที่จริงนางก็ไม่ถึงกับชอบกินสักเท่าไหร่ แต่พ่อชอบกิน ครั้งหน้าถ้ากลับไปค่อยกินเป็นเพื่อนพ่อก็แล้วกัน
เขามักมีความมั่นใจในตนเองประการหนึ่งอยู่เสมอ ว่าถ้าของอะไรที่เขาชอบ บรรดาพวกเขาพี่น้องก็จะต้องชอบด้วยอย่างแน่นอน
“พ่อ ข้าสบายดี ตอนนี้ข้ากำลังอยู่ในเหมือง ทิวทัศน์ก็สวยดี อากาศก็ดีด้วย แค่คิดถึงพ่อกับแม่นิดหน่อย รอให้เสร็จจากจัดการธุระของทางนี้แล้ว ข้าจะรีบกลับไปหาท่านนะ ”
ที่ข้างหูพลันมีเสียงพ่อดังแว่วมาให้ได้ยินอีกครั้งว่า “ดี!”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสุข ปิติยินดีอย่างยิ่ง
ในห้องทรงพระอักษร อ๋องฉีกับเจ้าหน้าที่ต่างลอบสบตากัน ดี?
เหลิ่งจิ้งเหยียนจ้องหยู่เหวินเห้าตาเขม็ง “กระหม่อมไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? ฝ่าบาทบอกว่าดี?”
อ๋องฉีกำลังพูดถึงคดีฆาตกรรมในเมืองหลวงเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นคดีลูกชายนักพนันที่ละโมบอยากยึดทรัพย์สินของตระกูล ถึงกับสมคบคิดกับคนนอกวางแผนฆ่าพ่อของตัวเอง ลูกชายอกตัญญูคนนี้ เป็นที่น่าโกรธแค้นเดียดฉันท์ตั้งแต่ภพสวรรค์ยันโลกมนุษย์ ฝ่าบาทกลับบอกว่าดี?
หยู่เหวินเห้ารีบสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ที่ข้าพูดคือ ลูกชายที่อำมหิตชั่วช้าน่ารังเกียจเช่นนี้ ไร้มโนธรรมตามครรลอง โหดร้ายเลือดเย็น ฆ่าไปเสียได้ก็ดี”
จะวอกแวกอีกไม่ได้ จะวอกแวกอีกไม่ได้แล้ว ต้องมีสมาธิในการทำงาน “เจ้าเจ็ด นักโทษสารภาพแล้วหรือไม่?”
“ ตอนแรกจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมสารภาพ แต่พอถูกทรมานถึงค่อยยอมสารภาพออกมา เงินก็หาเจอแล้ว แต่คนร้ายก็เอาไปถลุงจนแทบไม่เหลือแล้วล่ะ” อ๋องฉีตอบ
“อื้ม ดี คนเช่นฆ่าไปก็ถือว่ารักษาความชอบธรรมให้แก่สวรรค์!” หยู่เหวินเห้าพูด
“ความชอบธรรมของสวรรค์?” เหลิ่งจิ้งเหยียนแค่นเสียงเย้ยหยันขึ้นมาอีกครั้ง
“ กฎหมายบ้านเมือง ฆ่าไปเพื่อรักษาความชอบธรรมของกฎหมายบ้านเมืองเรา ” หยู่เหวินเห้ารีบพูดเสริมอย่างรวดเร็ว จ้องมองเหลิ่งจิ้งเหยียนอย่างน้อยอกน้อยใจ จะดุอะไรขนาดนั้น
กฎของสวรรค์ไม่ดีตรงไหนกัน? เขาในตอนนี้ยินดีที่จะเดินตามกฎของสวรรค์อย่างไม่มีข้อแม้เลยเชียวล่ะ
พลบค่ำ เมื่อกลับมาที่ตำหนักเสี้ยวเยว่ หยู่เหวินเห้าตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้กับเจ้าหยวนด้วยความลิงโลดใจสุดขีด แต่กลับเห็นเจ้าหยวนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อีกด้าน สีหน้าครุ่นคิดจริงจังมาก กระทั่งเขากลับมาแล้วนางก็ยังไม่เห็น
“หยวน?” หยู่เหวินเห้าส่งเสียงเรียก
หยวนชิงหลิงกำลังนึกกังวล เรื่องที่จะบอกเขาว่าไม่สามารถสื่อสารกับเด็ก ๆ ได้ นางใจลอยไปพักหนึ่ง หลังจากได้ยินเสียงเรียกของเขา นางก็กลับมารู้สึกตัว รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “กลับมาแล้วรึ? รีบไปล้างมือเถอะ อีกครู่จะตั้งสำรับเย็นแล้ว”
กินข้าวให้เสร็จก่อนดีกว่าแล้วค่อยบอก หลีกเลี่ยงว่าเขาจะเสียใจจนกินไม่ลง
หยู่เหวินเห้ากลับนั่งลงอย่างมีความสุข มือทั้งสองข้างประคองแก้มของนาง “ไม่ต้องรีบหรอก ข้ามีเรื่องบางอย่างจะบอกเจ้า”
หยวนชิงหลิงมองไปที่ดวงตาที่เปล่งประกายของเขา อดหัวเราะออกมาไม่ได้ โอ๋? มีข่าวดีอะไรอย่างนั้นรึ? ถึงได้มีความสุขขนาดนี้
หยู่เหวินเห้ากดเสียงให้ต่ำลง แต่ก็ยังมีท่าทางตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ “วันนี้ข้าติดต่อกับกวาเอ๋อได้แล้ว ข้าได้ยินเสียงของนางแล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ “จริงรึ? เจ้าได้ยินเสียงของนางแล้ว ? นางพูดว่าอะไรบ้าง?”
หยู่เหวินเห้าแววตาเป็นประกาย “ข้าถามลูกไปว่ากินข้าวหรือยัง ลูกบอกว่ากินแล้ว จากนั้นก็ถามข้าว่ากินข้าวหรือยัง ข้าบอกไปว่าข้ากินปลาเปรี้ยวหวาน ลูกบอกว่าผ่านไปอีกสักพักรอจนเสร็จงานจะกลับมาเยี่ยมพวกเรา ลูกยังบอกว่าคิดถึงพวกเราด้วยนะ”
หยวนชิงหลิงมองเขานิ่ง ๆ ชั่วขณะหนึ่งพลันเกิดความรู้สึกแยกแยะไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถติดต่อกับเด็ก ๆ ได้ เพราะสนามแม่เหล็กของพวกเขาอยู่ในช่วงคลื่นเดียวกัน แต่เจ้าห้าน่าจะแตกต่างไปจากพวกเขาสิ
แต่เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของเขาแล้ว ก็เหมือนว่าเขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำจริง ๆ
“ ที่เจ้าบอกว่าพูดกัน ก็คือใช้วิธีการที่เจ้าพูดตามปกตินี่น่ะรึ?” หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “ใช่แล้ว ในสมองของข้าคิดว่าอยากจะคุยกับนาง ข้าก็เลยเอ่ยเป็นคำพูดออกไป ตอนแรกนางยังไม่ตอบ แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ตอบกลับมา”
พูดจากปาก ? แต่การสื่อสารของพวกเขาโดยพื้นฐานแล้วเป็นการแลกเปลี่ยนกันทางความคิด ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยคำพูด
นางแอบใช้ความคิดสื่อสารไปถามกวาเอ๋อ ผลคือกวาเอ๋อบอกว่าวันนี้ได้ยินเสียงพ่อจริง ๆ สามารถยืนยันได้แน่ชัดเลยว่าได้ยินจริง ๆ อีกทั้งตัวนางก็ใช้การพูดด้วยเสียงตอบพ่อกลับไปด้วย พ่อก็ได้ยินเหมือนกัน แล้วก็คุยกันต่ออีกสองสามประโยค
หยวนชิงหลิงยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก กำหนดจุดหมายที่จะส่งไปงั้นเหรอ?
“เจ้าไม่เชื่อรึ?” หยู่เหวินเห้าเห็นว่านางมีท่าทีครุ่นคิดขึ้นมาอีก ก็ร้อนใจ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อล่ะก็ ข้าจะถามอีกครั้งก็ได้นะ”
เขาพูดพลางหลับตาลง คิดถึงเจ๋อหลาน จากนั้นก็ส่งเสียงเรียกขึ้นมาว่า “กวาเอ๋อ!”
“พ่อ ข้าอยู่นี่” เสียงของกวาเอ๋อ ดังแว่วเข้ามาในหูของหยู่เหวินเห้า แต่หยู่เหวินเห้าคิดว่าหยวนชิงหลิงก็ได้ยินเช่นกัน รีบหันไปมองนางแล้วถามด้วยความยินดีว่า “ฟังสิ ๆ พูดตอบกลับมาจริง ๆ ใช่หรือไม่ล่ะ?”
แต่หยวนชิงหลิงกลับหลับตาลง ความคิดหลายอย่างประเดประดังตีกันวุ่นวายไปหมด พวกเด็ก ๆ ต่างส่งคำถามมาด้วยความประหลาดใจ เพราะตอนที่นางถามเจ๋อหลานเมื่อครู่ การสื่อสารทางความคิดก็ถูกส่งไปที่เด็กคนอื่น ๆ ด้วย เพื่อจะดูว่าพ่อได้ส่งข้อความหาพวกเขาในรูปแบบของการกำหนดจุดหมายด้วยหรือไม่
“เจ้าหยวน เจ้าหยวน!” หยู่เหวินเห้าเขย่าไหล่นางพลางร้องถามอย่างตื่นเต้น “ได้ยินหรือไม่? กวาเอ๋อบอกว่ากำลังจะลงจากภูเขาแล้ว”
หยวนชิงหลิงลืมตาขึ้น อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ มันเป็นเรื่องจริง กวาเอ๋อบอกว่าตอนนี้นางกำลังเตรียมจะกลับลงมาจากเหมืองแล้ว
นี่ไม่ใช่การสะท้อนของสนามแม่เหล็ก แต่เป็นไอน้ำที่สะสมอยู่ในอากาศ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการส่งเสียงของเขาไปถึงกวาเอ๋อที่อยู่ทางโน้น จากนั้นเสียงของกวาเอ๋อ ก็อาศัยกฎในรูปแบบเดียวกัน ส่งผ่านกลับมาหาเขาที่อยู่ทางนี้
แต่ในจุดนี้มันต้องยังมีบางอย่างที่ลึกลับซับซ้อนกว่านั้น ที่เวลานี้ยังไม่ถูกค้นพบแน่ ๆ