บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1638 ข่าวใหญ่
ตลอดทั้งคืนหยู่เหวินเห้ายุ่งมาก เขายกชาไว้ถ้วยหนึ่ง แล้วพูดคุยกับเด็ก ๆ จากระยะไกล พูดไปพูดมาก็ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นคำถามประเภทกินข้าวแล้วยัง? กินอะไร? พรุ่งนี้จะทำอะไร? ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง? อ่านหนังสืออะไร?
ช่างเหมือนกับชาวบ้านที่เพิ่งได้คุยโทรศัพท์ครั้งแรกจริง ๆ พวกเขาเล่นกันอย่างมีความสุข แต่ไม่พบหัวข้อที่เหมาะสม
หยวนชิงหลิงถูกทิ้งไว้ที่ด้านข้าง มองดูเขาที่ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญอย่างมากแล้ว กระทั่งตอนจะอาบน้ำ เขาก็ยังอยากจะคุยกับเด็ก ๆ สักนิดสักหน่อย
รอจนเขาไปอาบน้ำจริง ๆ แล้ว หยวนชิงหลิงก็รีบสื่อสารกับพวกเด็ก ๆ ทันที ทุกคนพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างกระตือรือร้น
เจ้าห้ายังคงอยู่ในกระบวนการฉีดสารยับยั้งอยู่ด้วย
แต่พวกเด็ก ๆ ต่างก็ตื่นเต้นกันมาก บอกว่าหลังจากนี้ พวกเขาสามารถคุยกับพ่อได้ทุกที่ทุกเวลาเลย แต่ติดที่ว่า พ่อไม่ได้สื่อสารด้วยความคิด แต่เป็นการพูดออกมาจากปากตรง ๆ ซึ่งนั่นอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว
เมื่อเจ้าห้าอาบน้ำเสร็จเดินออกมา เขาก็มีท่าทางราวพ่อไก่ผู้หยิ่งทะนง ท่วงท่าการเดินดูใหญ่โตเผด็จการขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว
“ เจ้าหยวน กวาเอ๋อบอกว่าทางนั้นร้อนกว่าที่นี่มาก แล้วก็ไม่ค่อยมีผลไม้ให้กิน หรือไม่เจ้าก็ทำผลไม้แห้งสักหน่อย รอหลังจากนี้ค่อยสั่งให้คนส่งไปให้ ลูก ๆ ทั้งห้าคนได้ส่วนแบ่งเท่า ๆ กัน” พอออกมาแล้ว ก็รีบไปสั่งทันที
หยวนชิงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดี ทำพรุ่งนี้เลย พวกเราลงมือทำเองเลยดีกว่า”
“ได้ ข้าต้องถามเปาเอ๋อก่อน ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว? เมื่อครู่ก็ไม่ทันนึกว่าต้องถามด้วย” หยู่เหวินเห้านั่งลง ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม จากนั้นก็รีบหลับตาลง แล้วเริ่มถามหยู่เหวินหลี่อีกครั้ง
หยวนชิงหลิงนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
เมื่อทั้งสองคนล้มตัวลงนอน หยู่เหวินเห้ายังคงดูตื่นเต้นมาก สองมือยกหมอนไปรองช้อนที่หลังศีรษะแล้วพูดว่า “เจ้าหยวน ถ้าเจ้าไม่ได้มาที่นี่ ชีวิตนี้ของข้าคงสูญเสียความสนุกไปมากมายจริง ๆ แล้วก็คงจะไม่ได้รู้อะไรมากมายเช่นนี้ด้วย ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า โลกใบนี้จะเป็นแบบนี้ได้ ถึงขั้นทำเรื่องที่มหัศจรรย์แบบนี้ได้ ข้ายังไม่เคยพูดกับเจ้าประโยคหนึ่งสินะ? นั่นก็คือ ทุกสิ่งที่ข้าได้เห็นในบ้านของเราทางนั้น เป็นสิ่งที่ข้าไม่กล้าจินตนาการเลยว่าสังคมมนุษย์อย่างเราจะสามารถทำได้ ”
“อื้ม” หยวนชิงหลิงตะแคงตัวไปมองเขา คงทำเจ้าห้าตกใจแย่เลย
“ ข้ากำลังคิดว่า ในโลกเดิมที่เจ้าเคยอาศัยอยู่ เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่า ห่างจากรุ่นของเจ้าไปสองพันปีจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ในตอนนั้นมนุษย์จะมีความสามารถมากแค่ไหน? ในยุคของราชวงศ์เป่ยถัง ข้ารู้สึกว่าการที่เครื่องบินจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มันเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าในอนาคต อาจจะมีสักวันหนึ่งที่คนเราจะสวมปีกแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้?
จินตนาการของเจ้าห้ายังค่อนข้างหัวโบราณอยู่มาก การที่รู้สึกว่าคนเราจะสวมปีกแล้วบินไปบนท้องฟ้าได้ นับเป็นขีดจำกัดทางจินตนาการของเขาแล้ว
“ ติดอยู่แค่ว่า พอถึงตอนนั้น พวกเราก็จะไม่มีโอกาสได้รู้แล้วล่ะ” เจ้าห้าถอนหายใจ เขาหวังจริง ๆ ว่าคนเราจะสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ เขาจะได้เห็นโลกในอีกหลายพันปีข้างหน้า
มันจะต้องยอดเยี่ยมมีสีสันมากแน่ ๆ
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
“ได้หรือ?” หยู่เหวินเห้าหันไปมองหยวนชิงหลิง เจ้าคิดว่ามีการกลับชาติมาเกิดจริง ๆ น่ะหรือ?
“เอ่อ…. นี่ไม่ใช่หัวข้อการค้นคว้าวิจัยของข้า ข้าไม่สามารถตอบได้ว่ามีหรือไม่มี แต่เรารู้เรื่องด้านนี้น้อยมาก ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันจะไม่มีล่ะ?”
“ เวลาที่เจ้าพูดอะไร แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเข้มงวดอยู่เสมอ ถ้าเจ้าบอกว่ามีความเป็นไปได้ นั่นแปลว่าความเป็นไปได้นี้จะต้องสูงมาก ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไปอีกหลายพันปี หากมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ เจ้ากับข้ายังจะได้อยู่ด้วยกันอีกหรือไม่นะ?”
จู่ ๆ เจ้าห้าก็ดูมีท่าทางกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
คนเรามีความสุขได้ก็เพราะความไม่รู้ เพราะถ้ายิ่งรู้เยอะ ก็จะมีเรื่องที่ต้องคิดเยอะ
ชีวิตที่เอาแต่ต้องคิด ไม่ใช่ชีวิตที่สุขสงบผ่อนคลายเลย
หยวนชิงหลิงจับมือของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าห้า ถ้าเจ้าเชื่อ เราก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ก็คือพลังความเชื่อมั่นศรัทธา”
“ความเชื่อมั่นศรัทธา?”
“ข้าคิดว่าอย่างนั้น.”
“แล้วความเชื่อมั่นศรัทธาของเจ้าล่ะ?”
หยวนชิงหลิงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “วิทยาศาสตร์ ความเชื่อมั่นของข้ายังคงเป็นวิทยาศาสตร์”
ในโลกใบนี้มีเรื่องราวให้เรียนรู้มากมายดั่งผืนทรายในแม่น้ำคงคา เลือกหนึ่งสิ่งที่ตัวเองพร้อมจะเชื่อ และจงยึดมั่นในสิ่งนั้น หากคนเราทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งสำเร็จได้ในชีวิต เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกเสียดาย
“ความเชื่อมั่นศรัทธาของข้าคือความสงบสุข” หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในระหว่างการครองราชย์ สิ่งที่เขาตั้งตารอมากที่สุดก็คือความสงบสุขสันติภาพ บรรดาผู้ที่เกิดในสถานะทหารย่อมรู้คุณค่าของสันติภาพดีกว่าใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เขาได้เป็นฮ่องเต้แล้ว เขาก็ยิ่งมั่นใจในจุดนี้มากขึ้น เพราะมีเพียงสันติภาพเท่านั้น ถึงจะมีการพัฒนาต่อไปได้
สองมือกุมประสานกันแนบแน่น
พวกเขาพร้อมจะต่อสู้เพื่อความเชื่อมั่นศรัทธา และความปรารถนาของตนเอง
สองวันต่อมา ท่านชายสี่ก็เข้าวังมา เพื่อหารือกับเจ้าห้าเรื่องที่ว่า เมื่อไหร่ทังหยวนจะกลับมาเมืองหลวง
หยู่เหวินเห้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เขาจะกลับเมืองหลวงรึ? ทำไมข้าไม่เห็นรู้มาก่อนเลย เขาไม่เคยพูดให้ฟังเลยนะ”
พวกเขาเพิ่งจะติดต่อกันเมื่อคืน ก็ไม่ได้ยินเขาพูดว่าจะกลับเมืองหลวงเช่นกัน
“ไม่ใช่ว่าเขาจะกลับมาเมืองหลวงเร็ว ๆ นี้หรอก ข้าแค่จะมาถาม ว่าประมาณเมื่อไหร่เจ้าถึงจะมีคำสั่งให้พวกเขากลับมาเมืองหลวง?”
“น่าจะอีกราว ๆ สักปีหรือสองปี มีอะไรรึ? ” หยู่เหวินเห้าถาม
“จะได้เริ่มวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ” ท่านชายสี่พูดด้วยรอยยิ้มกว้าง ปีสองปียังนับว่าพอไหว เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว
“เจ้าวางแผนจะทำอะไรรึ?” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่น
“ ข้าเคยพูดไว้ตั้งนานแล้วนี่ ว่าทังหยวนจะต้องสืบทอดกิจการของข้า ลูกศิษย์ของข้าไม่ดีพอ ข้าก็ทำได้แค่ต้องเล็งหลานศิษย์แทนน่ะสิ” ท่านชายสี่พูดอย่างสบายอกสบายใจ
ลูกศิษย์ของเขา หยวนชิงหลิง เป็นคนที่ไม่มีนิสัยชอบแข่งขันแย่งชิงทางธุรกิจมากนัก ทรัพย์สินของตระกูลเหลิ่งจึงไม่เหมาะจะให้นางเป็นคนถือครอง
ไม่นานหลังจากที่พวกเด็ก ๆ เกิด ดวงตาของท่านชายสี่ก็จับจ้องไปที่ทังหยวนแล้ว
ตอนนี้ เปาเอ๋อก็กลับเมืองหลวงมาเริ่มติดตามภารกิจทางการทหารแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่ทังหยวนจะต้องเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจของเขา รออีกปีสองปีให้เขากลับมา บวกกับคอยอยู่สอนสั่งชี้แนะเขาอีกสักสองสามปี เขาก็จะกลายเป็นพ่อค้ามือฉมังได้ในไม่ช้า
หยู่เหวินเห้าถึงกับหลุดหัวเราะอย่างกะทันหัน “เจ้าพูดจริงหรือนี่? ไม่กลัวว่าข้าจะผลาญทรัพย์สินของตระกูลเหลิ่งของเจ้าจนหมดรึ?”
ท่านชายสี่ไม่มีท่าทีกังวลเลยแม้แต่น้อย “ข้าจะสั่งสอนชี้แนะเขาสักสองสามปี และเรื่องแรกที่ข้าจะให้เขาเรียนรู้คือ วิธีปฏิเสธคำขอร้องของพ่อบังเกิดเกล้าอย่างเฉียบขาดไร้เยื่อใย”
หยู่เหวินเห้าอ้าปากจนคางลากยาวแทบจะติดพื้น “เจ้าคิดจะใช้งานลูกชายของข้า แต่กลับไม่ให้ข้าใช้ประโยชน์สักนิดสักหน่อยเลยอย่างนั้นรึ?”
“นั่นเจ้าเรียกว่าใช้ประโยชน์สักนิดสักหน่อยอย่างนั้นหรือ? อย่างเจ้าเรียกว่าขย้ำกลืนอย่างตะกละตะกลามต่างหาก อดอยากหิวโหยน่าดู ” ท่านชายสี่ยกเสื้อคลุมขึ้น หลังจากนั่งลงแล้ว ก็ เรียกมู่หรูกงกง “มู่หรู เจ้าไปบอกฮองเฮาหน่อยว่าฮองเฮาเช่นนาง มีงานต้องทำอีกแล้ว”
มู่หรูกงกงถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ราชบุตรเขย ท่านต้องการให้ฮองเฮาทำงานอะไรรึ?”
ฮองเฮายุ่งเหลือเกินแล้ว จะไปมีเวลาทำงานอื่นได้อย่างไรกันล่ะ?
“ฮูหยินเหยาท้องแล้ว มีลูกเมื่อแก่ จำเป็นต้องจับตาดูนางอย่างใกล้ชิดหน่อย ฮุ่ยเทียนเครียดแทบตายให้ได้แล้ว”
“หา?” มู่หรูกงกงยิ้มกว้างทันที “นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก”
“ เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ฮูหยินเหยาอายุปาเข้าไปสี่สิบเกือบจะห้าสิบแล้วนะ” ในฐานะผู้ชายที่เคยผ่านเหตุการณ์ภรรยาคลอดลูก เขาย่อมรู้ว่าเวลาที่ผู้หญิงคลอดลูก เท่ากับเป็นการก้าวเท้าข้างหนึ่งเดินเข้าไปในประตูผีแล้วจริง ๆ หนำซ้ำอายุอานามของฮูหยินเหยาก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วด้วย .
ลูกสาวทั้งสองคนของนางล้วนแต่งออกไปกันหมดแล้ว เมิ่งเยว่เมิ่งซิงต่างก็คลอดลูกกันแล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ท่านยายกลับกำลังตั้งครรภ์
แต่งให้ฮุ่ยเทียนมาตั้งนานขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ถ้าอยากมีลูกก็น่าจะรีบมีหน่อยไม่ใช่รึ ตอนนี้เพิ่งปล่อยให้ท้อง กลายเป็นว่าต้องมากังวลว่าคนคลอดจะรอดหรือเปล่าแทนไปเสียอีก
หยู่เหวินเห้ากลับมีท่าทางใจลอยไปเล็กน้อย “หา ฮูหยินเหยาแก่ขนาดนั้นแล้วหรือ?”
“ ต่อให้นางจะดูแลตัวเองดีแค่ไหน แต่อายุมันก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ แล้วนางก็ไม่ใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ร่างกายของนางย่อมไม่แข็งแรงเท่าหรงเยว่กับอะซี่ ข้าเดาว่าลูกศิษย์คงจะกังวลแทบแย่แล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้าอดบ่นไม่ได้ “ฮุ่ยเทียนนี่ก็คิดอะไรอยู่นะ? ทำไมตอนเพิ่งแต่งงานไม่คิดจะมีลูก เพิ่งมาอยากมีเอาตอนนี้?”
มู่หรูกงกงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฝ่าบาท ผู้หญิงคนนี้มักจะดื่มยาขับเลือดซึ่งก็ไม่ดีนัก เดาว่าถ้าหลุดรอดไปไม่ได้ดื่มแค่เพียงครั้งเดียว ก็สามารถตั้งครรภ์ได้แล้ว เช่นนั้นข้าน้อยจะรีบไปบอกฮองเฮาทันที แต่ว่า จริงสิ ราชบุตรเขย ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรรึ?”
ฮองเฮากับฮูหยินเหยามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขนาดนี้ ฮองเฮากลับยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ผู้ชายวัยกลางคนอย่างท่านชายสี่กลับรู้ได้