บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1649 พวกเขามีวาสนาต่อกันมาก
เจ๋อหลานเอ่ยอย่างดีใจว่า “จริงหรือ เช่นนั้นก็ดีมากเลย ข้าเกรงว่าระหว่างทางจะเหงา มีเจ้าเป็นเพื่อนเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกลับไป เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ”
“ท่องเที่ยวไปด้วยระหว่างกลับ เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ”จิ่งเทียนคิดถึงภาพนี้ หัวใจก็ตื่นเต้นขึ้นมา ชาตินี้ เขายังไม่เคยออกไปท่องเที่ยวเลย
อีกอย่าง ยังมีเจ๋อหลานอยู่ด้วย
“แต่ข้าต้องจัดการเรื่องในแคว้นก่อน”จิ่งเทียนพูดกับเจ๋อหลาน
“ข้าจะรอเจ้า รออีกสองวันค่อยออกเดินทางกัน ”เจ๋อหลานเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจดี เพราะว่าการไปครั้งนี้ไม่ใช่เวลาสามวันห้าวัน
“ได้ เจ้ารอข้านะ”หัวใจของจิ่งเทียนยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกลิงโลด
เจ๋อหลานอาศัยอยู่ในวังหลวงเป็นการชั่วคราว เขาจัดการเรื่องงาน คาดว่ายังต้องใช้เวลาอีกวันสองวัน
ที่จริงท่านแม่ได้ให้นางบอกกับจิ่งเทียนถึงจุดประสงค์ที่ไปครั้งนี้ตรงๆ แต่นางคิดแล้วรู้สึกว่าอย่างไรเสียก็โกหกไปก่อนจะดีกว่า อย่างน้อยตลอดการเดินทางหัวใจของจะได้ไม่ต้องมีภาระต้องแบกรับไว้มากนัก อีกอย่าง ถ้าบอกกับเขาตรงๆ เขาอาจจะไม่ไปก็ได้
เขารู้ว่าตัวเองไม่สบายแล้ว ท่านแม่เองก็เคยส่งจดหมายมาให้อาจารย์ บอกว่าจะทำการทดลองยาเพื่อรักษาให้เขา เขาเขียนจดหมายขอบคุณตอบกลับไป แต่กลับเก็บหนังสือแต่งตั้งฮองเฮากลับมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีความหวังอะไรต่อการรักษาเลย
คาดว่าคงเป็นเรื่องที่ถูกสาปไว้ก่อนหน้านี้ จะอยู่ได้ไม่เกินอายุสิบแปด เขารู้ว่าไม่มีความหวังที่จะฝืนชะตากรรมได้
ด้วยเหตุนี้ เขาคงไม่มีทางไปรักษาตัวที่เป่ยถัง เพราะถ้าหากไปแล้วเกิดอะไรขึ้นที่เป่ยถัง เช่นนั้นเป่ยถังคงล้างมลทินได้ยาก
เขาต้องไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้แน่
อีกอย่าง ถ้าไม่บอกเขา เขาสามารถไปถึงเป่ยถังได้ในฐานะของฮ่องเต้แห่งแคว้นจิน เป็นการไปมาหาสู่ในฐานะผู้นำของประเทศ
แต่ถ้าหากเป็นการไปร้องขอเลือดเพื่อทำการรักษา เช่นนั้นในใจเขาคงจะรู้สึกต่ำต้อยลงเป็นแน่
หลังจากผ่านไปสองวัน จิ่งเทียนจัดการงานในแคว้นเสร็จแล้ว ให้เสนาบดีควบคุมดูแลราชสำนัก เตรียมของขวัญไว้หลายคันรถเริ่มออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแห่งเป่ยถัง
จิ่งเทียนที่ออกจากวังหลวง ราวกับได้กลายเป็นคนละคน ภาระที่แบกอยู่บนบ่าราวกับได้รับการยกออกไป ดูผ่อนคลายมีความสุขมาก
“ข้าชื่นชอบป่าและภูเขามาก ตอนเด็กข้าเติบโตป่า ที่นั่นมีทะเลสาบน้ำแข็งผืนใหญ่ ตลอดทั้งปีมีน้ำแข็งปกคลุมเป็นเวลาแปดเดือน ช่วงฤดูร้อนทะเลสาบน้ำแข็งจะละลาย ข้าจะนั่งดูลมภูเขาที่พัดผิวน้ำอยู่ข้างทะเลสาบ ความรู้สึกนั้นช่างเป็นอิสระจริงๆ ”
“เช่นนั้นต้องสวยงามมากแน่ๆ”เจ๋อหลานดูแล้วเหมือนจะใฝ่ฝันอยากเห็นมาก พูดด้วยรอยยิ้มว่า“วันหน้าหากมีโอกาส เจ้าพาข้าไปเที่ยวที่ทะเลสาบนะ”
จิ่งเทียนเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า“ได้ รอให้ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงพวกเราก็ไปกันได้แล้ว ถึงตอนนั้นน้ำแข็งเพิ่งจะเกาะตัวกันไม่นาน ในป่ายังมีความเขียวขจีอยู่ ไม่ได้ขาวโพลนไปทั้งหมด ยิ่งสวยมาก”
เจ๋อหลานสามารถนึกภาพออก อยากจะไปเห็นด้วยตาจริงๆ
เดิมทีเจ๋อหลานคิดว่าต้องเร่งเดินทาง แต่เห็นเขาดีใจเช่นนี้ ก็เดินทางให้ช้าลง ในเมื่อก็ไม่สนใจเวลาที่ยืดยาวออกไปอีกแค่ไม่กี่วัน
เดินทางเที่ยวเล่นไปตลอดทาง เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าจะไปถึงเมืองหลวงของเป่ยถัง
ก่อนเข้าเมืองหลวง จิ่งเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เอาแต่จัดการรับรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองอยู่ตลอด
หลังจากเข้าไปในเมืองหลวงแล้ว เขาได้พบกับท่านพ่อของเจ๋อหลาน ฮ่องเต้แห่งเป่ยถัง
แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ว่า เพราะความสัมพันธ์กับเจ๋อหลาน เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นหลัง และฮ่องเต้แห่งเป่ยถังเป็นบุคคลที่เขาเลื่อมใส ถ้าใช้คำพูดของราชครูฉีฮั่วมาพูด คนที่ตนเองเลื่อมใสนั้น เรียกว่าไอดอล ส่วนตัวเองนั้นเรียกว่าแฟนคลับ
แฟนคลับเจอไอดอล ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น พ่อข้าเป็นคนที่ดีมาก ไม่เคยโมโหเลย”เจ๋อหลานเห็นเขาตื่นเต้นจนสีหน้าก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงพูดปลอบพร้อมรอยยิ้ม
จิ่งเทียนปรับลมหายใจ ปรับอารมณ์ สูดหายใจเข้าลึกๆ“อืม ข้ารู้แล้ว”
แต่ในใจกลับยิ้มขม นั่นเพราะไม่โมโหกับนางต่างหาก
สำหรับเขาที่เคยคิดจะแต่งงานกับเจ๋อหลาน ฮ่องเต้แห่งเป่ยถังคงไม่มีสีหน้าดีๆให้ดูแน่
เป่ยถังก็รู้เรื่องที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินมาเยือน
ก่อนที่เจ๋อหลานจะออกเดินทาง ก็ได้บอกกล่าวกับพ่อแม่แล้ว จิ่งเทียนนั้นมาในรูปแบบของฮ่องเต้น้อยไปคำนับฮ่องเต้ใหญ่ เป็นการไปมาหาสู่ระหว่างประเทศทั่วไป
ฉะนั้น หยู่เหวินเห้าก็ได้ประกาศในการประชุมราชสำนักแล้ว ทุกคนต่างก็ดีใจในการมาเยือนของฮ่องเต้แห่งแคว้นจินมาก เพราะว่า นี่เป็นการมาเยือนครั้งแรกของฮ่องเต้แห่งแคว้นจิน นับตั้งแต่เจ้าห้าได้ขึ้นครองราชย์
ฝ่ายวางแผนของท่านชายสี่เหลิ่งได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว รอให้ฮ่องเต้จิ่งเทียนมาถึง ก็จัดงานเลี้ยงจับเข่าคุย ปรึกษาเรื่องความร่วมมือขั้นต่อไปของทั้งสองประเทศ
ที่จริง ขุนนางบางส่วนก็รู้สึกสงสัย เพราะแม้ว่าเป่ยถังกับแคว้นจินนับว่าไม่ได้มีข้อขัดแย้งอะไรกันมากนัก แต่ตั้งแต่อ๋องเจิ่นกั๋วของพวกเขาเข้ามาดูแลประเทศ ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรูต่อเป่ยถัง กระทั่งยังคงคนเข้าไปแทรกซึมในเมืองโร่ตูเฉิงเพื่อยุยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนในเมืองโร่ตูเฉิงกับราชสำนัก
หลังจากมี่ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินได้แย่งชิงอำนาจกลับคืนมา ก็ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปต่อเป่ยถังอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินยังมาเยือนด้วยตนเอง เห็นทีการไปมาหาสู่ในภายภาคหน้า คงจะแน่นแฟ้นมากขึ้นแน่
ทุกคนต่างก็คาดหวังต่ออนาคตที่จะมาถึงเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามที่ได้ยินแล้ว ต่างก็บอกว่าดี
อู๋ซ่างหวงพูดเหมือนเดิมขึ้นมาอีกแล้วว่า “เจ้าห้าน่ะ ทำได้ดีมากทีเดียว รู้จักมองการณ์ไกล ภายหน้าจะเป็นเวลาที่เป่ยถังต้อนรับการมาถึงของความเจริญอย่างสูงสุด และจะเจริญอย่างที่สุดต่อไป อย่างน้อยก็เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี”
การสับเปลี่ยนหมุนเวียนของราชสมัย แม้เขาจะไม่อยากพูดถึง แต่ก็ไม่หลีกเลี่ยง เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ ยากจะหลบเลี่ยงได้
เพียงแต่จุดนี้ก็ไม่กระทบต่อการสรรเสริญที่มีต่อฮ่องเต้ที่จิตใจมุ่งมั่น
พี่เหว่ยมองได้แม่นยำมาก เจ้าห้าเป็นฮ่องเต้ที่เหมาะสมต่อสมัยนี้มาก เพราะช่วงแรกในการขึ้นครองราชย์ ต้องให้ขุนนางในราชสำนักทั้งบุ๋นบู๊ร่วมผ่านเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกัน พอดีกับที่เจ้าห้าได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันพวกกับท่านชายสี่เหลิ่งและโสวฝู่เหลิ่งที่ถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา ใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด ไปทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ผู้นำที่ดี ล้วนเก่งในการพูดคุยเรื่องอุดมคติกับผู้ใต้บังคับบัญชา
สามารถพูดได้ว่า เจ้าห้านั้นมือดีที่สุดมาช่วย
ในช่วงเวลาที่ประเทศชาติยากลำบาก จะใช้แต่อำนาจมาข่ม คงทำไม่ได้
ต้องให้คนอื่นยินดีจะผ่านพ้นไปด้วยกัน นี่ต้องเสียสละเป็นอย่างมาก โปรยความรักออกไปสักหน่อย
เจ้าห้านั้นมีทั้งความรักและความเห็นใจ สามารถทำได้ถึงจุดนี้
หลังจากที่อู๋ซ่างหวงบ่นสรรเสริญหยู่เหวินเห้าไปแล้ว ก็พูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้น้อยแห่งแคว้นจินคนนี้ ได้ยินว่าอยากจะได้กวาเอ๋อของพวกเรา รอให้เขามาเมืองหลวง พบกับฮ่องเต้แล้ว ก็เชิญเขามานั่งที่จวนอ๋องซู่ของเราสักหน่อย”
“ดี”โสวฝู่ฉู่ก็รู้สึกอยากจะเห็นจิ่งเทียน พบกันตามลำพัง ไม่ก้าวก่ายเรื่องระหว่างประเทศ พวกเขาที่เป็นผู้อาวุโส ก็จะไม่พูดเรื่องประเทศ เป็นแค่การพบกันระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อยเท่านั้น
เซียวเหยากงได้ยินแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าเห็นเข้าเป็นเหลนเขยแล้วจริงหรือ”
อู๋ซ่างหวงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ในเวลานี้ อย่าพูดถึงเรื่องที่ไกลนัก กวาเอ๋ออายุยังน้อย แต่การสำรวจล่วงหน้าอาจจะเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วม ยังไม่จำเป็น พวกเราไม่สู้ในศึกที่ไม่มั่นใจมิใช่หรือ”
คุณย่าหยวนฟังแล้วก็รู้สึกอับจนคำพูด คนแก่เหล่านี้ พูดถึงเรื่องแต่งงานของเด็กอายุสิบสามคนหนึ่ง ช่างซื่อบื้อเสียจริง
เด็กอายุสิบสาม ภายหน้ามีความเป็นไปได้ที่ไร้ขอบเขต ความคิด การงาน อนาคต มีภูเขาสูงมากมาย รอให้นางบุกไปเผชิญ มีแม่น้ำลำธารนับไม่ถ้วน รอให้นางไปข้าม
ในขณะที่ทางด้านจวนอ๋องซู่มีความคิดเช่นนี้ เจ๋อหลานได้พาจิ่งเทียนเข้าวังไปแล้ว
ฮ่องเต้ทั้งสองแคว้นพบหน้ากัน ย่อมต้องจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับ เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็รอบัญชาจากฮ่องเต้ให้พวกเขาได้นั่งเป็นเพื่อน แต่ฮ่องเต้จิ่งเทียนเข้าวังแล้ว ราชโองการของฮ่องเต้ก็ยังไม่ลงมา
แม้แต่ท่านอ๋องทั้งหลาย ท่านชายสี่เหลิ่ง โสวฝู่เหลิ่ง หงเย่ต่างก็ไม่ได้รับราชโองการ
ท่านชายสี่เหลิ่งโมโหมาก ชุดใหม่ก็เปลี่ยนเสร็จแล้ว
นี่ไม่คิดจะเชิญเขาจริงๆหรือ
สองสามีภรรยาหยู่เหวินเห้ารอต้อนรับจิ่งเทียนที่ตำหนักเจ๋อเยว่
แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะอยากคุยกับกวาเอ๋อมาก โดยเฉพาะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว แต่ก็ให้มู่หรูกงกงพากวาเอ๋อออกไปก่อน พวกเขาจะคุยกับจิ่งเทียนตามลำพัง
หลังจากได้นำชาและของว่างเข้ามาในตำหนักแล้ว ก็ไม่มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ ทั้งหมดถูกหยู่เหวินเห้าไล่ออกไปแล้ว
จิ่งเทียนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
แม้ว่าก่อนจะเข้าวังหลวงได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆหลายเฮือก แต่คิดไม่ถึงว่าเขายังคงตื่นเต้นเช่นนี้