บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1650 ขอความเมตตา
หยู่เหวินเห้ามองจิ่งเทียน
วิเคราะห์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับมีแต่กลิ่นอายแห่งความโง่แผ่กระจายออกมาทั้งตัว
การพบหน้ากันเมื่อครู่ กำลังจะคำนับตามธรรมเนียมพิธี เจ้าเด็กคนนี้ก็ก้มตัวให้เขาและเรียกเขาว่าท่านลุง เรียกยายหยวนว่าท่านป้า
ช่างกะทันหันจริงๆ
เดิมทีเป็นการพบกันของฮ่องเต้ทั้งสองแคว้น ได้กลายเป็นการพบกันระหว่างท่านลุงท่านป้ากับหลานไปเสียแล้ว นี่ไม่เหมาะสมเลยสักนิด
เจ้าห้าเดิมทีได้เตรียมคำพูดต้อนรับเอาไว้ อย่างน้อยก็เป็นฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้น เรื่องบุญคุณความแค้นส่วนตัวก็วางไว้ก่อน เขาคิดเอาไว้เช่นนี้
แต่เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ได้ทำตามธรรมเนียมทั่วไป
มองดูจิ่งเทียน แล้วมองไปทางยายหยวน ส่งสายตาให้นาง เจ้าเป็นคนเริ่มต้นดีกว่า
เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เดิมทีในใจก็ไม่ชื่นชอบจิ่งเทียนเลยสักนิด ถ้าหากไม่รับรู้ว่าเขาถูกคำสาป ใกล้ตายแล้ว บางทีอาจจะประชดประชันทางคำพูดได้บ้าง ก็ไม่นับว่าเสียมารยาท
แต่เจ้าเด็กที่ดวงซวยคนนี้ ชีวิตใกล้จะถึงฆาตแล้ว และไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ จึงรู้สึกทำใจที่จะพูดอะไรรุนแรงกับเขาไม่ได้
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง เดิมคิดว่าการพบหน้ากันของฮ่องเต้ทั้งสองแคว้น อย่างไรเสียก็ต้องสรรเสริญยกย่องซึ่งกันและกันแน่ ใครจะรู้ว่าหลังจากได้ยินคำว่าท่านลุงท่านป้าแล้ว ก็ทำเอาคนฟังพูดไม่ออกเลยทีเดียว
จากนั้นนางคิดว่าอย่างน้อยจะให้เจ้าห้าเป็นคนพูดก่อนสักหน่อย แสดงให้เห็นความเป็นเจ้าบ้านที่ดี
แต่ว่า เจ้าห้ากับเสี่ยวอู่ต่างก็จ้องมองกันไปมา ไม่มีใครยอมเอ่ยปากพูดจาเลย บรรยากาศก็ค่อนข้างอึดอัด
หยวนชิงหลิงจึงได้แต่ทำหน้าที่ในฐานะของท่านป้า เอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า“เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมากสินะ ลำบากเจ้าแล้ว ”
จิ่งเทียนระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง “ไม่ลำบากเลย ทิวทัศน์ของเป่ยถังงดงามมาก ข้ากับเจ๋อหลานเที่ยวเล่นกันระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวง”
ประโยคนี้พูดออกไป สีหน้าของหยู่เหวินเห้าก็ดูไม่ได้เลย ถึงว่านานขนาดนี้แล้วยังมาไม่ถึงเสียที ถามกวาเอ๋อ กวาเอ๋อยังบอกว่าเกรงว่าร่างกายของจิ่งเทียนจะรับไม่ไหว ฉะนั้นจึงกลับเมืองหลวงช้าๆ
ลูกสาวตัวน้อยโกหกเขา เพื่อเจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนนี้
จิ่งเทียนแอบเหลือบมองหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าเขาขรึมลงทันใด ก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดไป แต่ในสมองกลับว่างเปล่าไม่สามารถสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเป็นเหตุผลให้กลบเกลื่อนไปได้
ฮ่องเต้จิ่งชูช่างน่าเกรงขามเสียจริง และดูอ่อนเยาว์มากด้วย
หยวนชิงหลิงยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศตึงเครียดแล้ว ควรให้กวาเอ๋ออยู่ที่นี่ด้วยจริงๆ ดูใบหน้าของเจ้าห้าที่ทำเอาเด็กตกใจจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรแล้ว
“มาถึงเป่ยถัง มีอะไรไม่คุ้นชินหรือไม่ รู้สึกไม่ถูกกับดินฟ้าอากาศที่นี่หรือไม่”หยวนชิงหลิงรีบถามขึ้นทันที
จิ่งเทียนส่ายหน้า ครั้งนี้จึงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ดีหมดทุกอย่าง เป่ยถังดีมาก มีหลายทัศนียภาพที่แคว้นจินไม่มี”
หยวนชิงหลิงเข้าใจ แคว้นจินก็เปรียบเหมือนกับประเทศมองโกเลียในยุคปัจจุบันของพวกนาง พายุทรายรุนแรง ภูเขาค่อนข้างมาก แต่พืชคลุมดินน้อย แหล่งน้ำก็มีไม่เพียงพอ ย่อมต้องไม่ได้สวยงามเท่ากับเป่ยถังเช่นนี้
แคว้นจินได้เปรียบตรงที่มีเหมืองแร่ที่อุดมสมบูรณ์
การเลี้ยงสัตว์ก็เจริญมากไม่น้อย
หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆว่า “ทิวทัศน์แห่งแคว้นจินของพวกเจ้า ข้าอยากจะไปชื่นชมสักครั้ง วันหน้าหากข้ากับเจ้าห้ามีเวลาว่างแล้ว จะต้องไปเป็นแขกที่แคว้นจินของเจ้าแน่”
จิ่งเทียนได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของหยวนชิงหลิง และให้คำว่าเจ้าห้าแทนคำว่าฮ่องเต้จิ่งชู หัวใจก็ผ่อนคลายลงมาทันที “ได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกท่านจะสามารถไปเยือนได้ ”
เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดว่าจะคุยเรื่องการรักษากับเขาในวันนี้ แต่เห็นเขาระมัดระวังตัวเช่นนี้ ให้กวาเอ๋อเป็นคนพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า
วันนี้ก็ให้ถือเสียว่าเป็นการพบหน้ากันเป็นการส่วนตัวระหว่างฮ่องเต้ทั้งสองแคว้นแล้วกัน
หยู่เหวินเห้าก็พยายามเก็บความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขาอย่างเต็มที่ ถามเรื่องของแคว้นจิน เมื่อพูดถึงเรื่องที่เป็นทางการ ความตื่นเต้นของจิ่งเทียนค่อยๆมลายหายไป เขากลับสู่ความนิ่งขรึมสงบ ตอบคำถามได้อย่างราบรื่น
เดิมหยู่เหวินเห้าคิดจะถามไปลวกๆเช่นนั้นเอง แต่เมื่อได้ยินกลยุทธ์การปกครองประเทศของเขา ก็รู้สึกชื่นชมขึ้นมา
แล้วยังถามถึงความเห็นของเขาถึงการกลยุทธ์การปกครองเป่ยถังด้วย จิ่งเทียนก็ตอบอย่างคล่องแคล่วชำนาญ บอกว่าแคว้นจินเองตอนนี้ก็เรียนรู้ที่จะทำเหมือนเป่ยถัง จัดการสอบเพื่อคัดเลือกผู้มีความสามารถ
ที่เจ้าห้าให้ความสำคัญมากที่สุดคือการสอบคัดเลือก
ทั้งสองคนคุยกับเกือบหนึ่งชั่วยาม เดิมทีที่ดูไร้คำพูดจา แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการปกครองก็พูดสิ้นทุกสิ่ง ภายในระยะเวลาสั้นๆแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น
หยวนชิงหลิงนั่งฟังอยู่ข้างๆ แต่ก็แอบถอนหายใจเบาๆเฮือกหนึ่ง
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว หยู่เหวินเห้าให้สวีอีส่งจิ่งเทียนออกจากวัง บอกว่าให้ไปพักผ่อนก่อน อีกสองวันจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขา
เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะกลับไปคุยกับกวาเอ๋อแล้ว
เจ๋อหลานกลับไปที่ตำหนักเสี้ยวเยว่ ภายใต้การดูแลด้วยความรักและเอาใจใส่ของอะซี่กับมู่หรูกงกง นางกินจนท้องอิ่มแปล้
มู่หรูกงกงดีใจมาก ได้แต่เฝ้ารอคอยมาตลอด ในที่สุดองค์หญิงก็กลับมาแล้ว
นั่งลงข้างๆอย่างรักและเมตตา มององค์หญิงกิน ถามคำถามขึ้นมาในบางครั้ง องค์หญิงก็เงยหน้าขึ้นตอบ ทันใดนั้นมู่หรูกงกงก็รู้สึกว่า ชีวิตของเขาจนถึงตอนนี้ สามารถมองเห็นองค์หญิงได้บ่อยๆกับนับว่าสมหวังแล้ว
อะซี่เอาแต่ถามเรื่องของจิ่งเทียน ก่อนหน้านี้ตอนที่นางพูดคุยกับพี่หยวน ก็รู้แล้วว่าฮ่องเต้จิ่งเทียนคนนี้เคยแต่งตั้งเจ๋อหลานเป็นฮองเฮา นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ปกติแล้วถามพี่หยวน พี่หยวนก็ไม่ยอมพูด ตอนนี้เจ๋อหลานกลับมาแล้ว ย่อมต้องถามสักหน่อย
เจ๋อหลานก็ไม่ได้ปิดบังอะไร พูดให้ท่านน้าสี่ฟัง มู่หรูกงกงนั่งหูผึ่งฟังอยู่ข้างๆ ถอนหายใจติดๆกันหลายเฮือก
ไกลเกินไป ไกลเกินไปแล้ว
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงกลับไปถึงตำหนักเสี้ยวเยว่ อะซี่กับมู่หรูกงกงก็ออกไปอย่างรู้งาน ให้พวกเขาพูดคุยกับเจ๋อหลาน
เจ๋อหลานชอบที่จะโผเข้าไปในอ้อมกอดของหยวนชิงหลิง ลูกสาวเรียกอย่างน่ารักคำหนึ่งว่า “ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านมาก”
หยวนชิงหลิงลูบผมที่นุ่มลื่นของนาง“เด็กดี แม่ก็คิดถึงเจ้า ”
หยู่เหวินเห้าใบหน้ายิ้มแย้มยืนมองอยู่ข้างๆ รอให้ลูกสาวเข้ามากอดเขาสักหน่อย
“ท่านพ่อ ข้าก็คิดถึงท่าน”เจ๋อหลานอ้าแขนสองข้างออก กอดหยู่เหวินเห้าเอาไว้ เงยหน้าขึ้นในอ้อมกอดของเขา แววตาวิบวับ
“คิดถึงพ่อจริงๆหรือ”เจ้าห้าหยอกล้อ
“แน่นอน เป็นเรื่องจริงที่สุด”เจ๋อหลานจูงมือของพวกเขาเข้าไปนั่งลง เอียงศีรษะไปถามท่านแม่ว่า“เขาไปแล้วหรือ ”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า“อืม ให้อาสวีของเจ้าไปส่งแล้ว”
เจ๋อหลานแลบลิ้นออกมา ยิ้มอย่างซุกซน“ยังให้อาสวีไปส่งอีกหรือ โตขนาดนี้แล้ว ยังต้องให้คนคอยติดตามรับใช้อีก ”
“เขาเป็นแขก”หยวนชิงหลิงยื่นนิ้วมือออกไปแตะที่ปลายจมูกของเจ๋อหลาน จากนั้นสองมือก็กุมใบหน้าของนางเอาไว้“ให้แม่ดูสิ ผอมลงนะ ดำขึ้นด้วย ”
หยู่เหวินเห้ารีบเขยิบเข้าไปถามว่า “ลำบากมากใช่หรือไม่”
เจ๋อหลานรีบพูดว่า“ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยสักนิด แต่ก่อนเปิดเหมือง มีงานค่อนข้างมาก ข้าก็ชอบที่จะลงมือทำด้วยตัวเอง ที่สำคัญคือข้ารู้สึกว่าแปลกใหม่ อยากจะเรียนรู้เอาไว้บ้าง ที่จริงแม่นางโจวกับพี่หูต่างก็สามารถทำได้ พวกเขามีความสามารถมาก ”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะขึ้นมา พูดกับหยวนชิงหลิงว่า “เจ้าฟังซิ ลูกสาวเราอายุแค่นี้เอง พูดจาได้ครอบคลุมจริงๆ คำหนึ่งก็ชื่นชอบถึงความขยันเรียนรู้ของตนเอง แล้วยังยกยอหูหมิงกับแม่นางโจวอีกด้วย ทำไม อยากจะขอความเมตตาให้เขาทั้งสองคนหรืออย่างไร”
เจ๋อหลานผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง พูดยิ้มๆว่า “ท่านพ่อมองออกด้วยหรือ”
“คนที่อยู่ข้างกายเจ้า พ่อล้วนให้ความสำคัญ อีกทั้งยังช่วยเจ้าดูแลเมืองโร่ตูเฉิงให้ดี เจ้าที่เป็นถึงเจ้าเมือง อยากจะให้รางวัลก็อะไรก็ให้ไปซิ ยังต้องผ่านพ่ออีกหรือ”
เจ๋อหลานเข้าไปกอดแขนของหยู่เหวินเห้าเอาไว้ “ท่านพ่อ มีเรื่องหนึ่ง อย่างไรเสียก็ต้องให้ท่านเป็นสั่งราชโองการ”
“เอ๋ เรื่องอะไร ร้ายแรงถึงขั้นต้องมีราชโองการเชียว”หยู่เหวินเห้ารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที
เจ๋อหลานพูดว่า“ท่านดูพี่หูก็อายุไม่น้อยแล้ว แม่นางโจวก็เช่นกัน ที่จริงทั้งสองคนต่างก็รู้สึกดีต่อกัน แต่พี่หูคิดว่าตัวเองนั้นพิการทางขา ไม่กล้าจะเผยความรู้สึกต่อแม่นางโจว แม่นางโจวเห็นนางไม่พูด นางก็ไม่เอ่ย ทั้งสองเสียเวลากันอย่างนี้มานานแล้ว ข้าที่เป็นคนนอกเห็นแล้วก็ร้อนใจแทน”