บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1651 นางยังไม่สำคัญเท่าท่านพ่อ
หยู่เหวินเห้าเข้าใจแล้ว หันหน้าไปมองหยวนชิงหลิง “ยายหยวน แม่นางโจวคนนี้เมื่อก่อนเคยชอบพี่สาม ใช่หรือไม่”
“อืม เป็นเช่นนั้นจริงๆ ยังเคยไล่ถามมาถึงเมืองหลวงด้วย”หยวนชิงหลิงพูด
“กวาเอ๋อ เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขามีใจต่อกัน ”หยู่เหวินเห้ายังคงหวังจะได้เห็นคนรักกันครองคู่กันตลอดไป
“ข้าแน่ใจ ข้าไม่มีทางสังเกตผิดแน่นอน ไม่เชื่อพวกท่านลองถามฟีนิกซ์น้อยดู”เจ๋อหลานชูนิ้วมือขึ้นราวกับให้คำสาปาน
“พ่อเชื่อเจ้า เอาอย่างนี้ ถ้าหากมีใจต่อกันจริง ให้ท่านแม่ของเจ้าเขียนราชโองการ ประทานงานแต่งงานให้พวกเขาสองคน ดีหรือไม่”
“ท่านแม่ ดีหรือไม่ ”เจ๋อหลานมองหยวนชิงหลิงอย่างมีความหวัง
หยวนชิงหลิงย่อมต้องตอบตกลงแน่นอน ที่จริงเรื่องการแต่งงานของหูหมิงก็เป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจนางมานานแล้ว ล้วนเป็นคนที่ออกมาจากจวนอ๋องฉู่เหมือนกัน คนเก่าคนแก่
หกเก๋อเอ๋อแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว มีแต่เขาที่ยังโสด
หลังจากพูดเรื่องหูหมิงกับแม่นางโจวแล้ว จึงพูดเรื่องของจิ่งเทียน
“พรุ่งนี้เจ้าหาโอกาสคุยกับเขาหน่อย ก็คือพวกเราจะใช้เลือดของพ่อเจ้าก่อน เพื่อควบคุมอาการของเขา”
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปคุย เขาต้องเห็นด้วยแน่ ที่จริงเขายังมีความมุ่งหวังที่ยังไม่บรรลุผล ตลอดการเดินทางพวกเราคุยกันเยอะมาก เขามีความสามารถในการปกครองประเทศจริงๆ เขาบอกว่าถ้าหากมีเวลาอีกห้าหกปี บางทีเขาอาจจะสามารถปล่อยมือได้แล้ว”
“ปล่อยมือ”
“อืม แม้ว่าเขาจะไม่พูดถึงเรื่องโรคของเขา แต่ว่า ข้ารู้สึกได้ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ ในใจมีความเสียดายมาก เขาคิดว่าตัวเองคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงอายุสิบแปดปี”
“จากการได้พูดคุยเรื่องการปกครองประเทศกับเขา เวลาห้าหกปีสามารถทำให้แคว้นจินเป็นรูปเป็นร่างได้แล้วจริงๆ”หยู่เหวินเห้าพูด
แม้จะไม่ชอบจิ่งเทียนมากนัก แต่ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่า เด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ
ที่จริงตอนนี้จะบอกว่าชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ได้ เมื่อก่อนนั้นเป็นเพราะโกรธที่เขาทำเรื่องเหล่านั้น แต่พอเขามายืนอยู่ต่อหน้าเขาจริงๆ ก็รู้สึกว่าเป็นแค่เด็กเพิ่งโตคนหนึ่ง แต่กลับต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้
ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารขึ้นมา
เจ๋อหลานมองเขา พูดยิ้มๆว่า “ท่านพ่อ จะบอกความลับกับท่านเรื่องหนึ่ง ที่จริงเขาเลื่อมใสในตัวท่านมาก เขามองท่านเป็นไอดอล ”
หยู่เหวินเห้ามึนงง “ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ”
“เป็นเรื่องจริง ตลอดการเดินทางเอาแต่พูดเรื่องของท่าน บอกว่าตั้งแต่ท่านเป็นรัชทายาทจนถึงบัดนี้ ทุกสิ่งที่ท่านเคยทำไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เขารู้ดีราวกับเป็นคนในบ้าน รู้ดีกว่าข้าเสียอีก”
“จริงหรือ”เจ้าห้ายิ้ม“พ่อไม่ชอบเป็นไอดอล แต่ถ้าหากเขาใช้วิธีการของพ่อในการปกครองประเทศ อาจจะไม่ได้ผลก็ได้ สถานการณ์ในประเทศไม่เหมือนกัน”
“เขาก็ไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น เพียงแค่เรียนรู้ที่จะใช้ในสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์เท่านั้น เช่นการสอบคัดเลือก ถ้าหากไม่เกิดเรื่องขึ้นกับเขา และมีเวลาที่มากพอ เขาต้องเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งทีเดียว”
จิตใจของเจ้าห้ารู้สึกสับสนขึ้นมาทันที กวาเอ๋อยังไม่ชื่นชมเขาที่เป็นพ่ออย่างสูงสุดเช่นนี้
ฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่อะไรกัน ฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่จะสามารถเป็นกันง่ายๆได้อย่างไร
เจ๋อหลานมองหน้าของท่านพ่อ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “แม้จะเทียบกับท่านพ่อไม่ได้ แต่อยู่ในลำดับถัดจากท่านพ่อ คาดว่าคงจะเป็นไปได้”
เจ้าห้าอารมณ์เบิกบานขึ้นมาทันที กวาเอ๋อยังคงจัดอันดับเขาไว้เป็นที่หนึ่ง
หยวนชิงหลิงที่นั่งฟังอยู่ข้างๆหัวเราะขึ้นมา เจ้าห้าคนใจแคบ ช่างแบกรับความโหดร้ายได้จริงๆ
ช่างเป็นเรื่องที่ใครใส่ใจ ก็คนนั้นเสียเปรียบ
“เอาล่ะ ไม่พูดแล้ว พวกเราไปกินข้าวด้วยกัน”เจ้าห้าพูดยิ้มๆ ไม่ได้กินข้าวพร้อมกับลูกสาวมานานแล้ว มู่หรูเป็นคนที่มีสายตาแหลมคม ต้องสั่งให้ห้องเครื่องทำอาการที่กวาเอ๋อชอบแน่ๆ ปลาเปรี้ยวหวานคงเตรียมไว้แล้วกระมัง
เจ๋อหลานกะพริบตาปริบๆ ลูบทีท้องน้อยๆของตนเอง “ท่านพ่อ ข้ากินแล้ว มู่หรูกงกงกับท่านน้าสี่ได้เตรียมของอร่อยไว้ให้ข้ามากมาย ข้ากินจนจุกแล้ว”
เจ้าห้าหน้าบึ้งทันที มู่หรูทำงานไม่เป็นเลยจริงเชียว รู้อยู่แท้ๆว่าพวกเขาพ่อลูกไม่ได้พบกันนานแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะให้กวาเอ๋อกินรองท้องไปก่อนเล็กน้อย จากนั้นก็รอกินข้าวพร้อมกับพวกเขาหรืออย่างไร
แต่เห็นลูกสาวกินแล้วอิ่มอกอิ่มใจ ครั้งนี้ก็แล้วไปเถอะ
“รอให้พี่ใหญ่กลับมาวันพรุ่งนี้ พวกเราค่อยกินด้วยกัน ”เจ๋อหลานกอดแขนเขาเอาไว้ ยิ้มอย่างน่ารัก
“ก็ได้ ”เปาเอ๋อต้องกลับมาแน่ ยากนักที่น้องสาวจะกลับมาสักครั้ง เขาที่เป็นพี่ใหญ่ต้องรีบคว้าโอกาสเอาไว้
เพราะการรักษาจิ่งเทียนนั้นต้องทำอย่างรวดเร็วที่สุด ฉะนั้นเจ๋อหลานจึงไปหาจิ่งเทียนที่โรงเตี๊ยมตั้งแต่เช้า ถ่ายทอดคำพูดของท่านแม่
เมื่อคืนหลังจากที่จิ่งเทียนกลับมาแล้วก็ได้แต่คิดทบทวนไปมา หัวใจว้าวุ่นยิ่งนัก ฮ่องเต้แห่งเป่ยถังมองเขาเป็นเช่นไรนะ
เห็นเจ๋อหลานมาก็อยากจะถามดู แต่กลับได้ยินนางพูดเรื่องนี้ ก็ตกใจสะดุ้ง“เจ้า เจ้ารู้แล้วหรือ”เรื่องโรคที่เป็นอยู่เขาปิดบังเจ๋อหลานมาตลอด เพราะไม่อยากให้นางรู้ ไม่คิดว่าฮองเฮาจะบอกนาง
“อืม ครอบครัวข้าไม่มีความลับต่อกัน เสด็จแม่จะบอกข้าทุกเรื่อง”เจ๋อหลานมองเขาอย่างจริงจัง “ข้าหวังให้เจ้ารับการรักษา โดยทำการควบคุมอาการก่อน รอให้แม่วิจัยยาตัวใหม่ออกมาแล้ว ก็สามารถรักษาโรคของเจ้าได้”
จิ่งเทียนยิ้มอย่างจนใจ “เจ๋อหลาน ข้าคิดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่เจ้าให้ข้ากลับมาเมืองหลวงพร้อมกับเจ้าซินะ แต่ข้าต้องขอบคุณความหวังดีของเจ้า ที่ข้าเป็นอยู่ไม่ใช่โรค ข้าไม่มีแม้กระทั่งอาการอะไร และไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหน นี่เป็นคำสาป ตอนที่ราชครูบอกกับข้า ข้าเพิ่งนึกออก ถึงว่าบรรพบุรุษทุกรุ่นของข้าต้องมีคนหนึ่งที่ตายในช่วงอายุประมาณสิบแปดปี และก่อนตาย ก็ไม่มีอาการของโรคอะไร เป็นการตายอย่างกะทันหัน”
“นี่ก็คือโรค เจ้ายังจำเรื่องที่เสด็จแม่ของข้าเจาะเลือดของเจ้าหรือไม่ นางตรวจพบว่าในเลือดของเจ้ามีเชื้อของโรคชนิดหนึ่งแฝงอยู่ เชื้อโรคนี้ได้เจริญเติบโตขึ้นในร่างกายของเจ้า เมื่อเจริญเติบโตขึ้นในจำนวนที่แน่นอนแล้ว ก็จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันของเจ้า ก็คือทำให้เจ้าเสียพลังในการต่อต้านโรค และตายในที่สุด เสด็จแม่ของข้ากำลังศึกษาว่าจะฆ่าเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร ขอเพียงฆ่าเชื้อโรคนี้ได้ เจ้าก็จะเหมือนกับคนทั่วไป”
“หรือแม้กระทั่ง เชื้อโรคชนิดนี้อาจทำให้โครงสร้างยีนของเจ้าเปลี่ยนไป ข้าพูดเช่นนี้บางทีเจ้าอาจไม่เข้าใจ เจ้ารู้สึกวิชาที่ควบคุมน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็งได้มิใช่หรือ เป็นไปได้อย่างสูงว่าเชื้อโรคชนิดนี้ทำให้เกิดขึ้นมา แม่ข้าเป็นหมอที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง เจ้าต้องเชื่อนาง พี่จิ่งเทียน ข้าหวังว่าท่านจะสามารถรับการรักษาได้ ใช้เลือดของพ่อข้าควบคุมอาการของโรคก่อน ให้เสด็จแม่มีเวลามากพอที่จะวิจัยยาเพื่อต้านเชื้อโรค”
จิ่งเทียนมองนาง หัวใจกระตุกขึ้นมาทันที “เจ้าก็ไม่หวังให้ข้าตาย ใช่หรือไม่”
“ข้าจะหวังให้เจ้าตายทำไม”เจ๋อหลานนิ่งอึ้ง “พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ แม้แต่คนแปลกหน้า ข้าก็ไม่หวังให้เขาตาย”
จิ่งเทียนมองนางนิ่งๆ “ใช่แล้ว เจ้าเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีมาก”
“ฉะนั้น เจ้าตกลงใช่หรือไม่”
จิ่งเทียนลังเลอยู่ชั่วครู่ สีหน้าจริงจังอยู่บ้าง “แต่เจ๋อหลาน ใช้เลือดของพ่อเจ้ามาช่วยข้า ข้าคิดแล้วก็รู้สึกบ้ามาก ข้า พูดจริงๆนะ ข้าไม่รู้ว่าต้องใช้เลือดมากขนาดไหน แต่ข้าไม่อยากจะทำร้ายเขาอย่างนี้เลย”
เจ๋อหลานยิ้ม“นี่เจ้าเลื่อมใสในตัวพ่อข้าขนาดนั้นเชียวหรือ ”
“เจ๋อหลาน เจ้าไม่รู้ว่าเขายอดเยี่ยมแค่ไหน”ใบหน้าของจิ่งเทียนเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย“เกรงว่าข้าคงไม่เคยพูดกับเจ้ามาก่อน ตั้งแต่รู้จักเจ้า จนถึงการให้คนมาสืบเรื่องของฮ่องเต้แห่งเป่ยถัง ยิ่งข้ารู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขายอดเยี่ยมมาก ก่อนที่เขาจะเป็นรัชทายาท เป่ยถังแม้จะไม่นับว่ามีความวุ่นวายภายในและภายนอกมากนัก แต่ที่จริงก็มีความเสี่ยงในทุกด้าน เพราะในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงหยวน ให้ความสำคัญกับการอนุรักษนิยม ทั้งกลยุทธ์ในการปกครอง และการใช้ขุนนางเก่าแก่ ทำให้การเกษตรไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปจนถึงที่สุดได้ ทุกอาชีพก็ไม่สามารถเจริญก้าวหน้าโดยทั่วไปได้ เป่ยถังมีเหลิ่งซี่แค่คนเดียวเท่านั้น แข่งขันไม่ได้ ภายหลังพ่อของเจ้าเป็นรัชทายาท เรื่องแรกที่ทำคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยังดึงดูดโรงเงินติ่งเฟิงของแคว้นต้าโจวเข้ามาด้วย แบ่งเบาภาระภาษีสนับสนุนการค้าด้านต่างๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป่ยถังได้ผงาดขึ้นมาอย่างแท้จริง”
เจ๋อหลานยิ้มหน้าบาน “เจ้าเคยพูดแล้ว ตลอดการเดินทางมาเมืองหลวง เจ้าพูดถึงท่านพ่อของข้าไม่ขาดปากเลย”
แต่ที่จริงก่อนหน้านี้นางคิดว่าที่เขาพูดถึง นั่นเพราะว่านั่นเป็นพ่อของนาง
แต่เห็นแววในตาของเขา เจ๋อหลานรับรู้ได้ในทันที บางทีในใจของจิ่งเทียน นางยังไม่สำคัญเท่ากับท่านพ่อเลย