บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1662 ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเสียดาย
การรักษาของจิ่งเทียนสิ้นสุดแล้ว
เพื่อยืดอายุเลือดของเจ้าห้าให้มีประสิทธิภาพบนร่างของเขา ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงจ่ายยาที่สามารถช่วยยับยั้งหนอนน้ำแข็งได้ให้แก่เขา
เขายังคงสามารถควบคุมน้ำให้เป็นน้ำแข็งได้ กระทั่งสามารถควบคุมน้ำได้ด้วย ของเสียของหนอนน้ำแข็งยับยั้งแล้ว แต่ลักษณะที่ดียังอยู่ ประสิทธิภาพของลักษณะที่ดีนี้ ก็คือทำให้ความคิดของเขาแข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ
“สี่เดือนถึงครึ่งปี เจ้ายังต้องมาอีกครั้ง!” หยวนชิงหลิงกำชับเขา
จิ่งเทียนรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณต่อหยวนชิงหลิงอย่างหาที่สุดไม่ได้ มองดูทั้งครอบครัวใหญ่นี้ ก็มีความวู่วามที่ไม่อยากจะกลับไปชนิดหนึ่ง
แต่เขารู้ ภาระหน้าที่ที่มีอยู่ เขาก็ยังจำเป็นต้องกลับไป
“อยู่ต่ออีกสักสองวันเถอะ จะพูดคุยกับท่าน” เจ้าห้ากล่าว
จิ่งเทียนซาบซึ้งเล็กน้อย “ได้ เป็นความปรารถนาอย่างหามิได้”
“สองแคว้น น่าจะมีปัญหามากมายที่จะพูดคุยกันได้” ความหนักใจของเจ้าห้า สุดท้ายก็ยังอยู่ในเรื่องของประเทศ
จิ่งเทียนเก็บสีหน้า กล่าวอย่างจริงจัง“ท่านพูดถูก อันที่จริง ทั้งสองแคว้นควรจะนั่งลงแล้วสนทนากันเรื่องการพัฒนาในอนาคตให้ดีๆ”
เวลานี้จิตใจของทั้งคู่ เหมือนกันเป็นที่สุด
ความรู้สึกส่วนตัวเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว แต่เมื่ออยู่ในฐานะฮ่องเต้ ทัศนคติบางอย่างก็ยังต้องจริงจังขึ้นมา
หยู่เหวินเห้าถ่ายทอดพระราชโองการออกไป ให้โสวฝู่และท่านชายสี่พวกขุนนางคนสำคัญเข้าวัง นั่งลงสนทนากันกับฮ่องเต้จิ่งเทียน
ท่านชายสี่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับงานเลี้ยงแล้ว และตอนนี้เพิ่งเรียกเขาเข้าวัง ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากจริงๆ
ไม่สบอารมณ์ก็เรื่องของไม่สบอารมณ์ ไปพบฮ่องเต้จิ่งเทียนสักหน่อยก็ยังดีมากอยู่
หยู่เหวินเห้าจัดการเตรียมงานของอีกสองวันต่อจากนี้อย่างชัดเจน หารือเรื่องราววันนี้ พรุ่งนี้จัดงานเลี้ยง
งานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้ เป็นทั้งการต้อนรับและเป็นทั้งงานเลี้ยงส่ง
ขณะที่มา เดิมทีก็ต้องการจัดงานต้อนรับอย่างดี แต่ว่าตอนนั้นการรักษาอาการป่วยเป็นสิ่งสำคัญ กลับทำให้เรื่องนี้ล่าช้าแล้ว
ทรัพยากรแร่ของแคว้นจินอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เป่ยถังขาดแคลนพอดี แม้ว่าตอนนี้จะมีเมืองโร่ตูเมืองหนึ่ง แต่เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง อนาคตก็ต้องพัฒนาอย่างแข็งขัน เมืองโร่ตูให้การตอบสนองไม่เพียงพอแล้ว ครั้งนี้หยู่เหวินเห้าก็ได้เพ่งเล็งสินแร่ของแคว้นจิน
และแคว้นจินมีพื้นที่ที่เป็นภูเขามากมาย ทะเลทรายก็มาก ไม่เหมาะสำหรับทำการเกษตร สิ่งที่ขาดคือเสบียงอาหาร ซึ่งไม่กี่ปีมานี้เป่ยถังก็กำลังพัฒนาทางด้านเกษตรกรรมพอดี บุกเบิกพื้นที่รกร้าง เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ ใช้เสบียงอาหารแลกเปลี่ยนทรัพยากรแร่ได้ ต่างฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ
บรรยากาศในการสนทนาดีเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือท่านชายสี่คิดบัญชีเก่งเกินไป คำนวณได้อย่างสมเหตุสมผล ไม่ได้เอาเปรียบใคร และไม่ได้เสียเปรียบ ทุกอย่างดำเนินไปตามหลักการของความร่วมมือโดยยุติธรรม
ช่วงกลางวัน หยู่เหวินเห้าใช้เวลาของจิ่งเทียนอย่างเต็มที่
ตอนเย็น เขาพูดคุยกับลูกสาว
โดยสรุป พยายามลดเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันให้น้อยที่สุด
พรุ่งนี้ ก็เป็นการจัดงานเลี้ยงในวัง
เจ๋อหลานแอบมาบอกจิ่งเทียนว่า “ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่า งานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ได้จัดเตรียมอาหารเลิศรสมากมาย ของแต่ละที่ก็มีทั้งหมด ครั้งนี้ท่านมีลาภปากแล้ว”
“จริงหรือ?” จิ่งเทียนชอบอาหารของเป่ยถังมาก แต่ไม่กี่วันก่อนรักษาอาหารป่วย กินอาหารจืดชืดเป็นที่สุดอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้เข้าร่วมงานเลี้ยงครอบครัวของพวกเขาทั้งครอบครัว ก็เป็นเพียงอาหารธรรมดา
“ถูกต้อง ถึงเวลาท่านก็คอยดู จานไหนอร่อยก็จำชื่อไว้ กลับไปบอกให้พ่อครัวทำให้ท่านกิน”
“ได้ ถึงเวลาเจ้ามา ข้าจะต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี” จิ่งเทียนมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
เจ๋อหลานแววตาเป็นประกาย “คำไหนคำนั้น…….”
พูดยังไม่จบ ด้านนอกก็มีเสียงของหยู่เหวินเห้าดังมาจากด้านนอก “กวาเอ๋อร์ กวาเอ๋อร์……..”
“ท่านพ่อของข้าหาข้าแล้ว ประเดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่” เจ๋อหลานพูดจบ โค้งตัวกระโดดออกไปจากกำแพง จากนั้นอ้อมไปรอบหนึ่งไปปรากฏตัวด้านหลังของเจ้าห้า “ท่านพ่อ ท่านหาข้าหรือเพคะ?”
“เจ้าไปที่ไหนมา? พวกลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงเข้าวังมาแล้ว ตามเจ้าไปเล่นน่ะ” หยู่เหวินเห้ากล่าว
“จริงหรือเพคะ? เช่นนั้นข้าจะไปหาพวกนางเพคะ!” เจ๋อหลานยิ้มแล้ววิ่งออกไป ท่านพ่อมาหาข้าด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าท่านยังคงไม่วางใจอีก
ในพระราชวังวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ บรรดาพี่น้องสะใภ้นอกจากฮูหยินเหยาแล้ว โดยพื้นฐานล้วนมากันครบ
หยวนชิงหลิงยังได้บอกให้จวิ้นจู่จิ้งเหอพาลูกๆกลุ่มหนึ่งของนางเข้าวังมาด้วย ชมดอกไม้ก็ดี เปิดหูเปิดตาก็ดี พบเจอผู้คนให้มากๆหน่อย
ดังนั้น ทั้งอุทยานอวี้ฮัว ล้วนมีแต่เด็กๆ
ช่วงเย็นหน่อย สามผู้ยิ่งใหญ่พาผู้เฒ่ากลุ่มหนึ่งของจวนอ๋องซู่เข้ามา บอกว่ากินสักมื้อหนึ่งแล้วกลับไป
แน่นอนว่าหยวนชิงหลิงก็จัดเตรียมให้พวกเขามา ด้านห้องเครื่องทางนั้นก็ได้จัดเตรียมอาหารรสเลิศไว้มากมาย อีกทั้งรู้ว่าคนกลุ่มนั้นของจวนอ๋องซู่หอจัยซิงชอบกินเนื้อ ด้วยเหตุนี้ จึงได้จัดเตรียมเนื้อย่างไว้อีกด้วย
เหล่าผู้เฒ่าของหอจัยซิงนั้นมีความดำรงอยู่ที่แปลกประหลาด พวกเขามากันมากมาย แต่กลับมีความรู้สึกว่าดำรงอยู่ไม่เท่าไหร่ พวกเขาดูคล้ายกับจะอำพรางตัว มีเพียงขณะที่กินอย่างเดียว จึงจะได้เห็นพวกเขา
คนของหอจัยซิง นอกจากอ๋องชินเฟิงอันหยู่เหวินเซียวแล้ว คนที่เหลือทั้งชีวิตล้วนไม่เคยได้แต่งงาน
บ้านของพวกเขาก็อยู่ที่จวนอ๋องซู่ รกรากก็อยู่ที่นั่น
งานเลี้ยงได้เตรียมการแสดงไว้มากมาย มีร้องรำทำเพลง มีการแสดงงิ้ว จุดดอกไม้ไฟ เหมือนงานฉลองของเทศกาลเช่นนั้น
เด็กๆโดยส่วนมากดีใจเป็นที่สุด
จิ่งเทียนก็อยากไปดูดอกไม้ไฟ แต่ติดอยู่ที่ฐานะของฮ่องเต้ เขาเดินออกไปก็ไม่ดี ยังต้องอยู่สนทนากับทุกคนด้านใน อย่างไรเสียบุคคลที่เคารพเลื่อมใสและขุนนางที่มีความสำคัญไม่กี่คนของเป่ยถังก็อยู่ด้วย
ยังเป็นหยวนชิงหลิงที่เข้าอกเข้าใจผู้คน กำชับซาลาเปา “เจ้าพาฮ่องเต้จิ่งเทียนออกไปดูดอกไม้ไฟเถอะ”
ซาลาเปาลุกออกจากที่นั่ง ทำมือเคารพเชื้อเชิญ
จิ่งเทียนมองดูหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง ในตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
เขาออกไปกับซาลาเปา ไปรวมตัวกับเจ๋อหลาน ยืนอยู่บนตึกที่สูงที่สุดของพระราชวัง มองดูดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟก็สะท้อนความมั่งคั่งของราชวงศ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
จิ่งเทียนมองไป ใบหน้าของเจ๋อหลานเปล่งประกาย ขณะที่ดอกไม้ไฟขึ้นไปบนท้องฟ้า นางก็ส่งเสียงอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ ที่ยืนอยู่ข้างกายของนางคือองค์ชายทังหยวน เขาจูงมือเจ๋อหลานไว้ ดูดอกไม้ไฟด้วยกันกับเจ๋อหลาน
เจ๋อหลานหันกลับมามองจิ่งเทียน ดอกไม้ไฟก็เบ่งบานในดวงตาของนาง
หัวใจของจิ่งเทียนตื่นเต้นดั่งคลื่นโหมซัดสาด และมองเจ๋อหลานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ความหวังที่ถูกยับยั้งไว้นั้น ถูกจุดขึ้นมามากขึ้นอีกทีละนิ้วๆ
ในตำหนัก ท่านชายสี่กระซิบบอกกับหยู่เหวินเห้า“ฮ่องเต้องค์นี้ขณะที่เล่นขึ้นมาก็ไม่มีมาดอะไร แต่ว่า ขณะที่เจรจาเรื่องสำคัญ ก็จริงจังมีเหตุผลมีหลักการ เป็นคนที่มีความสามารถผู้หนึ่ง”
“อืม ใช่แล้ว” หยู่เหวินเห้าไม่ได้ปฏิเสธในจุดนี้
“ดังนั้น ท่านจะยกองค์หญิงให้หมั้นหมายกับเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ท่านชายสี่เอ่ยถาม
หยู่เหวินเห้าหยิบขนมชิ้นหนึ่งแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา “กินของให้มากกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่ดีกว่าหรือ?”
โสวฝู่เหลิ่งที่อยู่ข้างๆหัวเราะแล้ว หงเย่ก็หัวเราะด้วย
คำพูดทั้งหมดนี้เร็วเกินไป ใครจะรู้ว่าอนาคตเด็กๆจะพบเจอผู้ใดอีก?
ชายหนุ่มหัวใจหวั่นไหวนั้นมีค่า แต่ ไม่แน่ว่าจะได้อยู่เคียงคู่กันได้ทั้งชีวิต
งานเลี้ยงดำเนินไปพอประมาณแล้ว โดยพื้นฐานทุกคนล้วนวางตะเกียบแล้ว มีเพียงเหล่าผู้เฒ่าของหอจัยซิงที่ยังคงดึงดันอยู่ในสงคราม
สามผู้ยิ่งใหญ่เดินอยู่ใต้ฟ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไฟ คิดไม่ถึงว่าต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นทุกดอกในอุทยานอวี้ฮัวจะแปลกตาได้เพียงนี้
“ขณะที่ท่านเป็นฮ่องเต้ ก็คงไม่ได้มีเวลาว่างชื่นชมต้นไม้ใบหญ้าให้ดีๆสินะ!” ท่านฉู่เห็นเขาเพ่งมองไปที่ป่าโบตั๋น จึงกล่าวอย่างฉับพลัน
อู๋ซ่างหวงเหลือบมองครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองท่านฉู่ “ข้าอยากชื่นชมสักหน่อย สิ่งของที่สวยงาม ทุกคนก็น่าจะชอบ……แต่ข้ายังชื่นชมไม่เป็น ดูต้นไม้ที่สูงระฟ้านั้นยังจะดีซะกว่า ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยยิ่งกว่า
เซียวเหยากงหัวเราะแล้วกล่าว“พวกเรากระโดดไปบนยอดต้นไม่เถอะ”
เขากระโดดเหาะขึ้นไปก่อน อยู่บนต้นไม้อย่างมั่นคง
อู๋ซ่างหวงและท่านฉู่สบตากันแวบหนึ่ง แล้วเหาะขึ้นไปยืนอยู่บนยอดไม้พร้อมกับวิชาตัวเบา มองดูความคึกคักของอุทยานอวี้ฮัว ด้านบนศีรษะปล่อยดอกไม้ไฟอย่างต่อเนื่อง ในตาของทั้งสามดูเหมือนว่าจะมีประกาย
“เจ้าหก น้องสิบแปด!” ท่านฉู่ยื่นมือออกมา ดึงพวกเขาเข้ามา สายตากวาดไปบนใบหน้าอันแก่ชราของพวกเขาทั้งสองคน “โชคดีที่พวกเรายังได้อยู่ด้วยกันตอนที่อายุปูนนี้แล้ว”
อู๋ซ่างหวงและเซียวเหยากงล้วนหัวเราะขึ้นมาแล้ว
แสงประกายส่องผ่านเข้ามาทีละนิ้วๆ บนยอดไม้ ดูเหมือนมีผู้สูงอายุสามคนยืนอยู่ และก็ดูคล้ายกับเด็กหนุ่มที่มีจิตใจฮึกเหิมยืนอยู่สามคน
เวลาเพียงชั่วพริบตานี้ ชีวิตหนึ่งก็จะผ่านไปแล้ว
และชีวิตนี้ของพวกเขาไม่เคยเสียใจเลย