บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1673 พบผู้ปกครอง
หัวหน้าระดับชั้นฟางไปหาครูใหญ่ เมื่อครูใหญ่ได้ยินเรื่องนี้ ไม่ว่าหยู่เหวินหวงจะยังเรียนอยู่หรือไม่ ก็รีบเรียกเขาเข้ามาที่ห้องครูใหญ่ทันที
ครูใหญ่และหัวหน้าระดับชั้นก็โน้มน้าวเขาด้วยกัน หวังว่าเขาจะย้ายไปห้องหนึ่ง แต่หยู่เหวินหวงก็เป็นประโยคนั้น ไม่อยากย้ายห้อง
ถามเขาว่าทำไมไม่อยากย้ายห้อง เขาก็ไม่บอกเหตุผล แค่บอกว่าไม่อยากย้าย
ครูใหญ่ก็จนปัญญาแล้ว กล่าวว่า“ถ้าเธอไม่เห็นด้วย ฉันก็ต้องไปคุยกับผู้ปกครองของเธอถึงจะได้”
หยู่เหวินหวงเขียนหมายเลขโทรศัพท์ของโพ่ตี้อวี้ “นี่คือเบอร์โทรศัพท์คุณปู่ของผม หากว่าครูใหญ่อยากพูดคุยกับผู้ปกครอง ครูก็คุยกับเขา”
เรื่องนี้ไม่สามารถบอกคุณตาคุณยายได้ คุณตาคุณยายต้องหวังให้เขาย้ายไปห้องหนึ่งเป็นแน่ แต่เขาอยากอยู่ห้องหก
ความจริงตอนแรกเริ่มเขาไม่อยากอยู่ห้องหก ชั้นเรียนนี้เป็นขยะจริงๆ เขาก็คิดว่าครูไม่ได้พยายามตั้งใจด้วย ยังไงซะก็เป็นเด็กนักเรียนไม่เอาไหน ต่อกรด้วยเล็กน้อยอย่างขอไปทีก็พอแล้ว
แต่ว่า สองสามวันมานี้ เขาพบว่าคุณครูจางไม่ได้คิดเช่นนี้ เขาตั้งใจจริงๆ เพียงแค่ ชั้นเรียนนี้ได้รวบรวมนักเรียนที่ไม่เอาไหนไม่ตั้งใจเรียนที่มาจากโรงเรียนมัธยมกว่าสิบแห่งไว้ กำลังของคนคนเดียวก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงจริงๆ เขาก็เจ็บใจที่หลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าไม่ได้
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่เขาอยู่ห้องหกต่อ
เหตุผลที่สำคัญที่สุดคืออันที่จริงสองสามวันนี้เขาก็ได้สังเกตห้องหนึ่งแล้ว แรงกดดันของนักเรียนห้องหนึ่งหนักหน่วงมาก ครูประจำชั้นสนับสนุนการแข่งขันกัน ทำให้พวกเขาทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้เหนือกว่าเป้าหมายนั้นที่ตัวเองตั้งไว้ เป้าหมายไม่ใช่คะแนน แต่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่คะแนนดีกว่าตัวเอง พวกเขาต้องกดเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นที่เป็นเป้าหมายไว้ด้านล่างจึงจะถือว่าชนะ
สู้กันอย่างบ้าคลั่งทุกวัน นักเรียนก็เหมือนสายธนูตึงๆเส้นหนึ่ง
หลังจากที่เขามีคะแนนเช่นนี้แล้ว ถ้าไม่ตีจนความตั้งใจของพวกเขาหดหู่สิ้นหวังโดยตรง รู้สึกว่าจะเรียนยังไงก็ตามไม่ทัน ไม่ก็กระตุ้นให้พวกเขารีบไล่ตาม สายธนูนี้ก็จะยิ่งตึงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าชนิดไหน ก็ไม่ดี
หากไม่ใช่ห้องเรียนของตัวเอง เช่นนั้นก็เป็นอัจฉริยะของห้องเรียนอื่น ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจนิดหน่อย แต่จะไม่ได้ผันแปรมากนัก
เขารู้เข้าใจดีว่าเด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม รับความกระทบกระเทือนจิตใจแม้เล็กน้อย
สำหรับห้องหก……เหอะเหอะ เขาได้คะแนนเต็มครั้งแรก บางทีพวกเขาอาจจะตกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่กี่ครั้งก็จะเห็นเป็นปกติ แม้กระทั่งสายตาที่ประหลาดใจก็จะไม่ถาโถมมาแล้ว
เพราะว่าในจิตใจของพวกเขาคะแนนนั้นเป็นของที่ไม่สำคัญเท่าไหร่
แต่ที่สำคัญสุดๆก็คือ คะแนนแบบนี้ของตัวเองจะต้องดึงดูดให้คนอิจฉาอย่างแน่นอน
ถูกคนฉลาดห้องหนึ่งกลุ่มนั้นอิจฉาดีกว่า หรือว่าถูกห้องหกที่ตาไม่มีแววอิจฉาดีกว่าล่ะ?
ใครๆก็รู้ ต้องเลือกบีบคนที่อ่อนแอกว่า เขาจะต้องเลือกห้องหกเป็นแน่
โพ่ตี้อวี้ปะปนอยู่ที่เป่ยถังต่อไปไม่ได้ กลับมาที่ยุคปัจจุบัน ได้รับการไหว้วานของฮ่องเต้ฮุยจงให้ดูแลองค์ชายให้ดีๆ เพราะว่าองค์ชายเป็นญาติคนสนิทเพียงผู้เดียวที่อยู่ที่นี่ของเขา
โพ่ตี้อวี้จึงเอาเซเว่นอัพและโค้กเป็นแกนสำคัญ เอาความคิดจิตใจทั้งหมดวางไว้บนตัวของพวกเขา
โรงเรียนโทรมาบอกว่าต้องการพบผู้ปกครอง เขาจึงเรียกคนขับรถให้ส่งเขามา
จากเป่ยถังมาที่ยุคปัจจุบันหลายปีขนาดนี้ เขาปะปนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ไม่เลว คนที่มีความสามารถไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็สามารถหาเงินได้
เขาเป็นช่างหลอมดาบคนแรกของเป่ยถัง หลังจากมาถึงยุคปัจจุบันแล้วได้ติดตามฮ่องเต้ฮุยจงซื้อขายวัตถุโบราณ ก็หาเงินได้เล็กน้อย เปิดโรงงานมีดแห่งหนึ่ง แถมขนาดก็ยังใหญ่มากอีกด้วย
ก็นับได้ว่ากลับไปทำอาชีพเก่าแล้ว
มาถึงโรงเรียน เดินไปนั่งในห้องทำงานของครูใหญ่ ความน่าเกรงขามของช่างหลอมดาบคนแรกก็กลับมาแล้ว
ผมขาวโพลน เสื้อผ้าใส่มานานซักจนขาวซีด สีหน้าดำคล้ำเพราะตากแดดมานานเป็นเหตุ ดูแล้วอายุไม่น้อยแล้ว แต่ว่าฝีเท้าเร็วเหมือนเหาะ เหมือนคนชราร่างกายกำยำล่ำสันที่ทำไร่ไถนา
โรงเรียนไม่สามารถดูฐานะการเงินทางบ้านของนักเรียนได้ ดังนั้นครูใหญ่จึงมีท่าทีเคารพต่อเขาเป็นที่สุด อย่างไรเสียก็เป็นคนมีอายุแล้ว
หลังจากโพ่ตี้อวี้ได้ฟังเรื่องราวแล้ว ก็พูดประโยคหนึ่ง “หลานชายของฉันอยากเรียนห้องหนึ่งก็ไปเรียนห้องหนึ่ง เขาชอบก็ดีแล้ว”
ครูใหญ่ชะงักงัน “แต่ว่า บรรยากาศของห้องหนึ่ง……”
“ไม่ว่าจะมีบรรยากาศยังไง หลานชายของฉันสติปัญญาเฉลียวฉลาด ไม่ว่าเขาจะไปห้องไหน ก็เป็นที่หนึ่ง” โพ่ตี้อวี้ลุกขึ้นยืน มองไปทางหน้าต่าง “อืม โรงเรียนนี้ไม่เลว แค่ตึกเรียนเก่าไปหน่อยนะ ด้านหลังยังมีที่ว่างใช่ไหม? สร้างกี่ตึก ฉันออกเงิน อย่าทำให้หลานชายของฉันลำบากใจก็พอ”