บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1700 เปลี่ยนแปลงระบบการแต่งงาน
หยวนชิงหลิงขำขึ้นมาทันที
ซาลาเปายังเด็ก เลือกพระชายารัชทายาทอะไร?
“บอกปัดไป” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
หยู่เหวินเห้าบอกปัดอยู่แล้ว ดีที่ฎีกาฉบับนี้ โสวฝู่เหลิ่งเก็บไว้ให้เขา ไม่ได้ตอบแทนเขา
หลังจากอ่านแล้ว หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้นว่า “คาดว่ามีครั้งแรก ก็จะต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สาม เรื่องคู่ครองของซาลาเปา เราไม่บังคับ ให้เขาเป็นคนเลือกเอง”
หลังจากเจ้าห้าไปยุคปัจจุบันมา สิ่งที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดก็คือการมีความรักอย่างอิสระ เลือกคู่ครองด้วยตนเอง
เพราะอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตในอนาคตเป็นการอยู่กับตนไปตลอดชีวิต ไม่ใช่การอยู่กับพ่อแม่ไปตลอดชีวิต ไม่ใช่การอยู่กับขุนนางในราชสำนักไปตลอดชีวิต พวกเขาไม่ควรตัดสินใจแทน ตนเองรักชอบก็พอ
ยังไงหยวนชิงหลิงก็รับไม่ได้ที่พวกลูกๆจะต้องแต่งงานมีลูกตอนอายุสิบหกสิบเจ็ด
โชคดีที่เจ้าห้ามีความคิดเช่นเดียวกับนาง ไม่อย่างนั้น สองสามีภรรยาคงจะต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้
หลังจากบอกปัดฎีกาไปแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าในที่ว่าราชการเช้า มีขุนนางพูดเสนอขึ้นมา บอกว่าองค์ชายรัชทายาทควรเลือกพระชายาได้แล้ว
เมื่อเป็นว่าที่กษัตริย์แล้ว การมีครอบครัวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่
นอกจากฮ่องเต้แล้ว อ๋องชินคนอื่นๆมีบุตรชายไม่เยอะ นี่คือเหตุผลของพวกเขา เลือกพระชายาเร็วหน่อย จะได้มีหลานเร็วๆ ราชสำนักกับประชาชนก็จะได้วางใจ
จะว่าไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นก็คือ หลานชายก็สามารถให้กำเนิดลูกชายได้ แผ่นดินตระกูลหยู่เหวินมีผู้สืบทอดแล้ว ถึงจะวางใจ
และองค์ชายรัชทายาทก็อายุไม่น้อยแล้ว คนอื่นอายุสิบสี่ก็แต่งงานแล้ว
อีกอย่างเลือกพระชายาตอนนี้ ก็ไม่ต้องรีบแต่งงาน รอได้อีกสองปี
หยู่เหวินเห้าไม่อยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ จึงพูดขึ้นเพียงว่า “ต่อไปองค์ชายรัชทายาทอยากแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหน เขาเป็นคนเลือกเอง ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว”
ประโยคนี้เป็นที่ตกตะลึงอย่างมาก
ขุนนางคุกเข่าลงกว่าครึ่งในทันที บอกว่าการเลือกพระชายารัชทายาทถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก จะให้องค์ชายรัชทายาทเลือกเองได้อย่างไร? ชาติกำเนิด อุปนิสัย คุณธรรมจริยธรรม ความสามารถ ทุกอย่างต้องเพียบพร้อม ถึงจะคู่ควรกับองค์ชายรัชทายาท
หยู่เหวินเห้าโกรธอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขายิ่งร้อนใจ โบกมือพร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่สน ไม่ว่าชาติกำเนิดจะเป็นยังไง ขอเพียงเป็นคนที่เขาชอบก็พอ”
“นี่จะได้อย่างไร? ไม่ดูชาติกำเนิดได้อย่างไร? หากเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้เป็นหญิงคณิกาก็ได้หรือ?” ใต้เท้าอู๋ถามฮ่องเต้
“ได้ ถ้าเป็นคนที่เขาชอบก็พอ” หยู่เหวินเห้ายักไหล่
ใต้เท้าอู๋แทบจะเป็นลมล้มลง
ฮ่องเต้ฉลาดหลักแหลมมาตลอด แต่ทำไมในเรื่ององค์ชายรัชทายาท ถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้?
หญิงคณิกาก็ได้ คำพูดแบบนี้จะพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย
และในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ของเป่ยถัง พูดจาแบบนี้ออกมาได้ยังไง? เรื่องแต่งงานล้วนทำตามคำสั่งของพ่อแม่มาตลอด นี่เป็นกฎธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณ จะเปลี่ยนแปลงง่ายๆได้อย่างไร?
และคำพูดต่อมาของหยู่เหวินเห้า ยิ่งทำให้พวกเขาอึ้งตะลึง
หยู่เหวินเห้ามองดูขุนนางรอบๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้ข้าอ่านหนังสืออยู่หลายเล่ม รู้สึกว่าความจริงที่สอนโดยนักปราชญ์ในหนังสือเล่มนี้ให้แรงบันดาลใจกับข้าอย่างมากมาย นักปราชญ์บอกว่า ความสุขในชีวิตคู่สามารถทำให้ผู้ชายยอมทำงานหนักได้ ตรงกันข้าม หากทำให้ผู้ชายพังพินาศ แล้วจะให้นิยามคำว่าความสุขอย่างไร? งั้นจึงต้องยินดีกันทั้งสองฝ่าย ถึงมีจะความสุข หากไม่รักชอบพอใจแล้วแต่งงานกัน ไม่ถือว่าเป็นการแต่งงาน ถือเป็นการแลกเปลี่ยน เป็นความร่วมมือ”
ใต้เท้าอู๋พูดขึ้นอย่างสั่นเทาว่า “ฮ่องเต้ พระองค์พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ต้องการที่จะยุยงให้พวกเขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่หรือ? งั้นโลกใบนี้ จะไม่เกิดความวุ่นวายหรือ?”
“ไม่วุ่นวายหรอก” หยู่เหวินเห้ามองดูเขาอย่างเฉยเมย พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าไม่ให้พ่อแม่เข้าไปยุ่ง พ่อแม่สามารถช่วยลูกหาคนที่เหมาะสม แต่ความเหมาะสมนี้ ต้องให้ลูกเป็นคนตัดสินว่าเหมาะสมหรือไม่ ไม่ใช่พ่อแม่ตัดสินใจว่าเหมาะสม ยังเกี่ยวข้องกับอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือวัยอายุแต่งงานของเป่ยถังเรา ค่อนข้างน้อยไป ข้าเห็นว่าผู้หญิงควรอายุสิบแปด ผู้ชายยี่สิบค่อยคุยเรื่องแต่งงาน เช่นนี้ถือว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้ว่าตนเองชอบและต้องการผู้หญิงแบบไหน เลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง ต่อไปชีวิตคู่จะมีความสุขหรือไม่ ก็ต้องรับผิดชอบเอง โทษพ่อแม่ไม่ได้”
ทุกคนตกตะลึง
นี่จะได้อย่างไร?
เปิดโอกาสให้ชายหญิง รักชอบกันก่อนแต่งงานได้อย่างไร? หรือจะเหมือนคนที่ไม่ถือเนื้อถือตัวพวกนั้น แอบไปคบหากัน แบบนั้นเรียกว่าหน้าไม่อาย น่าอับอาย