บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1701 ไปหาอู๋ซ่างหวง
เสียงคัดค้านอื้ออึงดังขึ้นในบัดดล!
หยู่เหวินเห้ายังคงนิ่งเฉย รู้อยู่แล้วว่าจะมีเสียงคัดค้าน ทุกครั้งที่ผลักดันนโยบายใหม่ล้วนต้องผ่านการคัดค้านจากคนกลุ่มนี้
ชินแล้ว
เขาดื่มน้ำไปอึกอย่างช้าๆ ให้มู่หรูกงกงถอยออกไป เขานั่งอยู่บนแท่นสูงสุดมองผู้คนเบื้องล่างวิพากษ์วิจารณ์ ตื่นตระหนกร้อนรน
การเปลี่ยนแปลงระบบแต่งงาน มิใช่เลียนแบบโลกทางฝั่งหยวนชิงหลิง แต่ครั้นเป็นเด็กเขาก็ผ่านประสบการณ์มาก เด็กอายุสิบสามสิบสี่รู้อะไร? สิบหกสิบเจ็ดก็เป็นช่วงกำลังเรียน สมองยังไม่เติบโตเต็มที่ นี่ยังรวมพวกที่มีสติปัญญาปราดเปรื่องเป็นพิเศษไว้ด้วย แต่ระบบแต่งงานใช้กับประชาชนเป่ยถังทั้งหมด นั่นล้วนแต่เป็นประชาชนคนธรรมดา
เขาเคยได้ยินเจ้าหยวนพูด ว่าหลายปีก่อนโลกของพวกเขาก็คลุมถุงชนเช่นเดียวกับเป่ยถัง ชั่วชีวิตไม่รู้ว่า ‘รัก’ คือสิ่งใด
จากมุมมองในการดำรงชีวิต การคลุมถุงชนก็มีข้อดีอยู่จริงๆ เพราะเรื่องแต่งงานล้วนถูกจัดการให้แบบเบ็ดเสร็จ
แต่มนุษย์มิใช่แค่มีชีวิตอยู่ มนุษย์มีความรู้สึก มีความรัก การคลุมถุงชนรวมไปถึงการที่ได้เจอคนที่ชอบที่เหมาะสม แต่อัตราส่วนน้อยเหลือเกิน
ในตระกูลสูงศักดิ์เน้นเรื่องความเหมาะสมทางครอบครัว
แต่ที่ประชาชนเลือกก็คือทำงานและให้กำเนิดทายาทเก่ง
ความรักกระทั่งไม่คู่ควรให้พูดถึง
บ้านเมืองมั่งคั่งแล้ว ด้านจิตใจก็ควรพัฒนาด้วย
แน่นอน เขารู้ว่ามิอาจดำเนินการได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น แต่เรื่องนี้ก็ยังต้องมีคนเสนอ
ไม่มีกฎระเบียบในแคว้นใดที่มิอาจทำลาย
หากใช้กฎระเบียบเดิมๆ ในการปกครองบ้านเมือง สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่เส้นทางหายนะ
ถกเถียงกันนั่นแหละดี ที่กลัวที่สุดก็คือนโยบายที่โยนไปแล้วกลับหายต๋อม นั่นแหละจึงจะเป็นลางร้าย
ครั้นถกเถียงกันพอประมาณ หยู่เหวินเห้าก็ประกาศยุติการประชุม บรรดาขุนนางพากันห้อมล้อมโสวฝู่เหลิ่ง ให้เขาไปเกลี้ยกล่อมฝ่าบาท
แต่… หยู่เหวินเห้าก็มีขุนนางใหญ่คนสนิทหลายคนเช่นกัน ซึ่งไม่ว่าหยู่เหวินเห้าจะตัดสินใจอย่างไร พวกเขาก็จะสนับสนุน รับผิดชอบดำเนินการ ซึ่งนำด้วยท่านชายสี่ โสวฝู่เหลิ่ง และอ๋องชินทั้งหลาย
ดังนั้น เมื่อทุกคนเข้าห้อมล้อมโสวฝู่เหลิ่ง โสวฝู่เหลิ่งพึมพำครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ย “ที่ฝ่าบาทตรัสมาก็มีเหตุผล”
ทุกคนตะลึงงัน แต่จากนั้นก็มีคนว่า “มีเหตุผลอย่างไร? คำกล่าวนักปราชญ์ที่ฝ่าบาทตรัส ข้าน้อยมิเคยได้ยินมาก่อน มิทราบเป็นนักปราชญ์ท่านใดหรือ?”
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ฝ่าบาททรงมีความรู้หลากหลาย ย่อมต้องรู้จากที่ใดสักแห่ง” โสวฝู่เหลิ่งเอ่ย
คำพูดนี้ไม่อาจเกลี้ยกล่อมทุกคนให้เชื่อได้
กระทั่งยังน่าขันนิดๆ
โสวฝู่เหลิ่งเอ่ย “การเปลี่ยนระบบการแต่งงานมีผลดีต่อเป่ยถัง ทุกคนลองคิดดูสิ อายุสิบกว่าปีเป็นช่วงที่กำลังเรียนรู้สอบวัดสร้างชื่อเสียง หากมีครอบครัวในเวลานี้ ก็ต้องมีผลกับการเรียนอยู่แล้ว ชายในวัยนี้เป็นช่วงเลือดร้อน ทุกท่านก็กินเกลือมาก่อน ย่อมต้องเข้าใจดี”
โสวฝู่ก็สนับสนุนฝ่าบาทเหมือนกัน ทุกคนสูญเสียตัวตั้งตัวตีมือดีคนสุดท้ายที่จะเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ สุดท้ายจึงได้แต่จากไปอย่างเคืองๆ
ความสำเร็จและชื่อเสียงย่อมสำคัญ แต่การสร้างครอบครัวตั้งหลักปักฐาน ไม่มีครอบครัวแล้วจะตั้งฐานได้อย่างไร?
อีกอย่างด้วยกฎระเบียบที่ผ่านมา หญิงที่ออกเรือนเมื่ออายุสิบแปด หากคนในตระกูลเสียชีวิต นั่นมิต้องรอไปอีกหลายปีหรือ?
หรือว่าต้องให้อายุยี่สิบแล้วถึงออกเรือน?
มีขุนนางเก่าบางคนคิดแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มิจำเป็น จึงรวมกลุ่มกันไปหาอู๋ซ่างหวงที่จวนอ๋องซู่
ไปหาทางไท่ซ่างหวงไม่ได้ ทรงตรัสแล้วว่าจะไม่สนงานราชกิจ หากมีขุนนางไปถวายพระพรก็ต้องถูกซักไซ้อยู่ปากทางว่ามาด้วยเรื่องอันใด หากเป็นเรื่องราชกิจ ก็ไม่อนุญาตทั้งนั้น
ไท่ซ่างหวงเชื่อในฮ่องเต้โดยสมบูรณ์ มีเพียงอู๋ซ่างหวงทางนั้นที่ยังพอช่วยพูดได้บ้าง อีกอย่างท่านฉู่ก็อยู่ที่นั่น ท่านฉู่น่าจะคัดค้าน
ไหนเลยจะรู้ ครั้นไปพบและรายงานเรื่องนี้กับสามใหญ่ที่จวนอ๋องซู่แล้ว อู๋ซ่างหวงกลับถามด้วยความฉงนใจ “ช้าอีกสักสองสามปีค่อยแต่งงาน มีปัญหาอะไรหรือ?”
“เออ…แต่กฎครั้นแต่โบราณมาก็เป็นเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้นโบราณมาก็มีที่แต่งงานเมื่อยี่สิบกว่านี่”
ขุนนางเก่าร้อนรน “นั่นก็มีความต่างระหว่างชนนั้นพ่ะย่ะค่ะ หากตั้งเป็นกฎขึ้นมาก็มิอาจฝ่าฝืนได้อีก ชาวบ้านอายุสิบสามก็แต่งงาน หรือว่าพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าคิดว่าอายุสิบสามสิบสี่ไม่ควรแต่งงานมีลูกจริงๆ” อู๋ซ่างหวงเห็นด้วยกับข้อเสนอของหยู่เหวินเห้าอย่างยิ่ง
ท่านฉู่ก็เอ่ย “บันทึกของโจวหลี่ (*หนังสือที่พูดถึงระเบียบพิธีการ) ชายแต่งงานเมื่อสามสิบ หญิงยี่สิบถึงออกเรือน เห็นได้ว่าการแต่งงานเร็วมิใช่กฎแต่โบราณ ข้าก็เห็นด้วยกับฝ่าบาท”