บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1703 เลื่อนเป็นขุนนางเล็ก
กระทั่งกลับถึงวังหลังแล้ว หยู่เหวินเห้ายังคิดว่าเป็นเรื่องจริง เพราะซาลาเปาพูดได้จริงจัง สัตย์จริงมาก ไม่เห็นร่องรอยมดเท็จสักนิด
ดังนั้นจึงบี้ถามข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ต่อหน้าหยวนชิงหลิง
ซาลาเปาหัวเราะเอ่ย “เสด็จพ่อ จะเป็นจริงไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เสด็จปู่ใหญ่จะเป็นธุระเรื่องแต่งงานของหม่อมฉันได้อย่างไร? ทรงมิโปรดเป็นพ่อสื่อพ่อชักที่สุด”
“ตกใจหมดเลย!” หยู่เหวินเห้าหัวเราะพลางเอ่ย ยื่นมือตบบ่าซาลาเปา “เปาเปา เจ้าถึงกลับเอ่ยคำเท็จในที่ประชุมเช้า เหลือเกินจริงๆ นะ”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความชื่นชม
มีไหวพริบจึงจะเป็นคนฉลาด
ซาลาเปาเอ่ย “เรื่องนี้อ้างเสด็จปู่ใหญ่เหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระองค์หาตัวพบยาก คิดจะถามพระองค์ก็ถามมิได้ และแม้นจะถาม ปฏิภาณไหวพริบพระองค์ปัญญาล้ำเลิศเพียงใด? ก็ต้องช่วยหม่อมฉันพูดอยู่แล้ว”
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถอยู่อย่างไร้คลื่นลมฝนได้จนถึงอายุยี่สิบ เอาไว้ถึงตอนนั้นแล้วหากยังไม่อยากแต่งงาน ค่อยหาวิธีใหม่
ฮ่องเต้วาจาดั่งทองคำพันชั่ง แต่รัชทายาทสามารถโป้ปดไปเรื่อยได้
ยามที่โป้ปดได้ การกล่าวคำเท็จที่ไม่ทำร้ายคนทั้งยังได้ประโยชน์กับตน ก็มิเสียภาพรวม
“หมาป่าซาลาเปาไม่ได้กลับมาพร้อมกับเจ้าหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
“ช่วงนี้มันมักวิ่งเข้าป่าเป็นประจำ มิทราบไปทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ซาลาเปาหัวเราะ โอบไล่พระมารดา “หม่อมฉันหิวแล้ว เสด็จแม่ หม่อมฉันอยากกินเนื้อ เนื้อเยอะๆๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อาหารในกองทัพมิดีหรือ?” หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางถาม
“อาหารในกองทัพปรับเปลี่ยนมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อมิให้ทหารได้ลำบาก เพียงแต่ระยะนี้หม่อมฉันกินเยอะ” วัยนี้ของซาลาเปา เป็นช่วงที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กอปรกับการฝึกฝนทางร่างกายอย่างหนักในแต่ละวัน จึงทำให้หิวบ่อยๆ
“ได้ ให้มู่หรูกงกงของเจ้าไปจัดการ” หยู่เหวินเห้าเคยผ่านช่วงวัยนี้ ตอนนั้นกินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม เขาไปสั่งการกับมู่หรูด้วยตนเอง จัดอาหารคาวมื้อหนักให้ซาลาเปา
ครั้นตรึกตรองดูแล้ว ทหารใหม่วัยอย่างซาลาเปาหรืออายุมากกว่าเขาหน่อยหนึ่งในกองทัพก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นอาหารในกองทัพควรจะปรับปรุงอีกครั้งจึงจะถูก
เรื่องนี้เขาอยากพูดเสนอนานแล้ว
ดังนั้นหลังจากกินอาหารกับลูกเสร็จ เขาก็รีบไปหารือเรื่องนี้ที่เน่ย์เก๋อ
สองแม่ลูกสนทนากันอยู่ในตำหนัก เมื่อเห็นผิวพรรณซาลาเปาตากแดดจนเป็นสีข้าวบาเลย์แล้ว หยวนชิงหลิงกลับไม่ปวดใจสักนิด ทั้งยังรู้สึกภูมิใจอีก เพราะนั่นแสดงว่าเขาไม่ได้แอบอู้อยู่ในกองทัพ
“ระดับการฝึกหนักมากไหม? นอนพอหรือไม่?”
“นอนวันละสองชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ นอกจากการฝึกซ้อมแล้วยังต้องอ่านหนังสือ อ่านด้านละหน่อยหนึ่ง หม่อมฉันไหวพ่ะย่ะค่ะ มิรู้สึกเหนื่อย”
เขากึ่งพิงเก้าอี้กุ้ยเฟย กล่าวเช่นนี้แล้ว หนังตาก็เอาแต่ลู่ลง
“นอนวันละสองชั่วยามเองหรือ? เจ้าทนไหว แต่คนอื่นจะไหวหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
“มีเพียงหม่อมฉันที่เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ คนอื่นได้นอนเต็มสามชั่วยามครึ่ง อีกอย่าง หากไม่มีการฝึก โดยรวมแล้วก็ไม่เหนื่อยมาก ฝึกซ้อมเช่นนี้เช้าค่ำเป็นเรื่องปกติ แต่บัดนี้หม่อมฉันยังได้เลื่อนตำแหน่งในกองทัพ ก็ต้องยุ่งมากหน่อยอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เลื่อนตำแหน่ง?” ใบหน้าหยวนชิงหลิงพลันยินดี
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นรักษาการนายกองทหารม้า รับผิดชอบเรื่องการสอนทักษะธนูโดยเฉพาะ” ซาลาเปาเอ่ย
หยวนชิงหลิงนับ รักษาการนายกองทหารม้านั่นจัดเป็นขั้นแปด แต่ก็ดีมากแล้ว ซาลาเปาจะต้องปีนขึ้นสูงเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเขาจะต้องได้เป็นแม่ทัพ เป็นแม่ทัพใหญ่แน่!
ทีแรกตอนที่เขาเพิ่งไปค่ายทหาร ด้วยฐานะของเขาจึงคิดจะอวยยศให้เป็นแม่ทัพ ภายหลังเจ้าห้าไม่อนุญาต บอกให้เขาเริ่มตั้งแต่ทหารชั้นล่างสุด
ตอนนั้นเขาไม่รายงานหัวหน้าออกจากค่ายทหารไปเมืองโร่ตูกับแคว้นจินโดยพลการ มีบันทึกอยู่ในคดีความ มิเช่นนั้นเวลานี้ก็ไม่เพียงแค่ขั้นแปดแล้ว
ซาลาเปาหลับไปแล้ว
หยวนชิงหลิงจ้องบุตรชายครู่หนึ่ง จะว่าไม่ปวดใจเลยก็ยังปวดใจ หยิบผ้าผืนบางคลุมตัวให้เขา ลูกช่างรู้ความจริงๆ ทำให้นางวางใจมาก