บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1711 นางดุเกินไปแล้ว
ฮูหยินเหยากับฮุ่ยเทียนเหยียบถึงวังหลวงในช่วงมื้ออาหารคืนข้ามปีพอดี
พาเจ้าตัวเล็กข้าวังมาด้วย ได้รับอั่งเปาเป็นกอบเป็นกำเป็นอันดับแรก
เมิ่งเยว่กับเมิ่งซิงรักน้องชายที่เพิ่งเกิดใหม่คนนี้มาก มิได้ห่างเหินเพราะความต่างบิดาเลย ดังนั้นเมื่อเจอน้องชายก็เข้ามาอุ้มเล่นด้วย
ครั้นถึงช่วงมื้ออาหารข้ามปี ก็นั่งแยกกันโต๊ะละสิบคนหลายโต๊ะ มิได้แบ่งกันนั่งเหมือนเมื่อก่อน แต่ต้องพูดเลยว่าคนเยอะมากจริงๆ
จิ้งเหอกับอ๋องเว่ยไม่ค่อยได้สนทนากัน เวลาที่เขากลับมา หลังตามหาตัวนางพบตามสัญชาตญาณแล้ว ก็พยักหน้าให้กันถือเป็นการทักทาย
แต่เมื่อถึงช่วงอาหารข้ามคืน จิ้งเหอให้เด็กๆ นั่งลง แค่เด็กของนางก็ต้องแบ่งนั่งหลายโต๊ะแล้ว
ข้างนางเหลือที่ว่างหนึ่งที่ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดนั่ง เดิมอ๋องเว่ยนั่งกับหยู่เหวินเห้าแล้ว แต่พอเห็นตำแหน่งข้างตัวนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไป
“มีคนนั่งไหม?” เขาถามจิ้งเหอ
จิ้งเหอผูกผ้ารอบคอให้เด็กที่อยู่ข้างๆ ไม่หันกลับมา “ไม่มี”
“เช่นนั้นข้านั่งได้ไหม?” อ๋องเว่ยถามอีก
จิ้งเหอไม่ตอบ เพียงแค่พยักหน้า
อ๋องเว่ยนั่งลงทันที อย่างกับเกรงว่านางจะกลับคำ
หลังจากจิ้งเหอผูกผ้าเรียบร้อยแล้วถึงจะหันกลับมามองเขา “เดินทางกลับเมืองหลวง เหนื่อยแล้วละสิ?”
อ๋องเว่ยคิดไม่ถึงว่าจิ้งเหอจะพูดกับเขาก่อน หลังจากตะลึงแล้วก็รีบส่ายหน้าทันที “ไม่เหนื่อย!”
จิ้งเหอเอ่ยเสียงเบา “ดวงตาเจ้าเหลืองๆ ดื่มให้น้อยหน่อยเถอะ”
อ๋องเว่ยรู้สึกว่าในใจเหมือนมีดอกไม้ไฟกำลังแตกพลุ เอ่ยเสียงดัง “จากนี้ต่อไปจะไม่แตะสักหยด เลิก!”
จิ้งเหอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ริ้วรอยเล็กๆ ที่หางตายกขึ้นเล็กน้อย “จวนเจียงเป่ยอากาศหนาวจัด เหมาะจะดื่มสักหน่อย ไม่เป็นไร แต่อย่าได้ดื่มมาก”
อ๋องเว่ยจ้องมองนาง “หากมีคนถามไถ่ห่วงใย แม้นจะเป็นช่วงเหมันต์ที่เหน็บหนาว ก็ร้อนระอุดั่งอากาศเดือนหก(*เดือนหกของจีนเป็นช่วงที่ร้อนที่สุด)”
จิ้งเหอมองเขาแวบหนึ่ง ในดวงตาของเขามีสายใยเช่นเดียวกับเก่าก่อน
อดีตฝังกลบไปหมดแล้ว นางลืมไปแล้ว
เกือบตายไปหนึ่งครั้ง ช่วงเวลาหลังจากนี้ก็ถือว่าเกิดใหม่เถอะ
แม้อ๋องเว่ยจะไม่ได้คำตอบ แต่ก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่งยวด มิเคยดีใจเช่นนี้มาก่อน
นางพูดกับเขา เป็นห่วงสุขภาพเขา เตือนให้ดื่มน้อยๆ แล้วยังยิ้มกับเขาอีก
ชีวิตยังมีอะไรน่าดีใจไปกว่านี้หรือ?
“กินข้าว กินข้าว!” อ๋องเว่ยปรนนิบัติอย่างขยันขันแข็ง ยิ้มอย่างกับคนเซ่อซ่า
สายตาทุกคนต่างมองมา กับคู่นี้ ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือความคิดของจิ้งเหอ
ที่พวกเขาทำได้ก็คือเคารพ เข้าใจและสนับสนุน
หลายปีนี้จิ้งเหอก็ลำบากมาก ในบ้านมีเด็กมากมาย ขาดบิดาไปก็เท่ากับขาดเสาหลัก นางฝืนให้ตัวเองเป็นเสาหลักต้นนี้
ทำตัวเองเยี่ยงบุรุษ จัดการด้วยตัวเองแทบทุกเรื่อง
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ สตรีอ่อนแอเช่นนั้นเอากำลังมาจากไหน
หรือว่าความลำบากแปรเปลี่ยนเป็นพลังได้จริงๆ?
อู๋ซ่างหวงยังเจาะจงมองมากหน่อย
อายุมากแล้ว อย่างไรในใจก็ยังวกวนอยู่กับเรื่องของลูกหลาน
หากเจ้าสามยังเลอะเลือนไม่สร่าง ก็ไม่ควรค่าแก่การช่วยเหลือ แต่หลายปีมานี้เขาก็ทำตัวเองเหน็ดเหนื่อยประหนึ่งสุนัข เสเพลกลับใจมีทองก็ไม่แลก รู้ผิดรู้แก้ ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะให้อภัยไม่ได้
แน่นอนว่าไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เขา จิ้งเหอต่างหากที่เป็นคนตัดสิน
หวังเพียงจะดำเนินไปตามทิศทางที่เขาหวังไว้
ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วลูบจอกน้ำจันทร์โดยมิรู้ตัว ครั้นแล้วก็ได้ยินย่าหยวนที่อยู่ด้านข้างกระแอมทีหนึ่ง เขาก็รีบวางลงพลัน แล้วยกถ้วยข้าวขึ้นกินอย่างขะมักเขม้น
ยายเฒ่านี้ก็ดุไปหน่อย
หยวนชิงหลิงอดขำไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าอู๋ซ่างหวงวางมาดใหญ่มาตลอดชีวิต กลับตกอยู่ในมือของหมอเฒ่า
เข้าใจได้ไม่ยาก มีผู้ป่วยมากมายที่ไม่ยอมฟังผู้ใดทั้งสิ้น แต่กลับฟังเพียงหมอ แต่พอยามที่จำเป็นต้องให้หมอพูด หลายเรื่องก็มิอาจควบคุมได้แล้ว
นางก็มองจิ้งเหอกับอ๋องเว่ยแวบหนึ่งเหมือนกัน ที่จริงสองสามปีนี้พวกเขาเหมือนจะเข้ากันได้บ้างแล้ว เพียงแต่ยังก้าวข้ามเส้นแดนสุดท้ายไม่ได้เท่านั้น
ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ เป็นครอบครัวก็ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นสามีภรรยา