บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1721 ประหลาดใจกับการเติบโตของลูก
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1721 ประหลาดใจกับการเติบโตของลูก
หยวนชิงหลิงยิ้มแย้มครู่หนึ่งก็พูดต่อไปว่า “ในแง่ของการเรียน แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราสามีภรรยาก็ไม่เคยบังคับพวกเขา เพียงแค่แนะนำความรู้ด้านที่พวกเขาสนใจให้ เด็ก ๆ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกใบนี้ รวมถึงความรู้ในแขนงต่าง ๆ ก็สนใจมากไม่แพ้กัน ดังนั้น คำแนะนำที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา สิ่งสำคัญที่สุดแน่นอนว่าจะต้องเป็นคุณธรรม และสุขภาพจิตที่ดีของเขา คนที่มีสุขภาพดีและจิตใจแข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะใช้ชีวิตแบบมองโลกในแง่บวกได้อย่างมีความสุข สามารถผ่านการทดสอบความทุกข์ยากของชีวิตที่จะมีเข้ามาในอนาคตได้ ”
ครูจางถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้ม
เขาเป็นครู สั่งสอนให้ความรู้แก่ผู้คน ที่สอนไปคือความรู้ แต่สิ่งที่เขาอยากสอนยิ่งกว่า คือสอนหลักธรรมในการดำเนินชีวิต
ปัจจุบันโรงเรียนให้ความสำคัญในด้านจิตวิทยาและคุณธรรมเป็นอย่างมาก แต่ผู้ปกครองหลาย ๆ คนกลับคิดว่าสิ่งที่ควรต้องเรียนรู้ในโรงเรียน ก็คือความรู้ ส่วนความกดดัน คนเราทุกคนล้วนมีความกดดัน ในอนาคตความกดดันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกไปทำงาน ช่วงเวลาในรั้วโรงเรียนนี่แหล่ะถึงจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
แต่ผู้ปกครองหลายคนมักมองข้ามไปว่า ในชีวิตของนักเรียนมัธยมปลาย โดยเฉพาะเด็ก ม.หก ความลำบากและความกดดันของพวกเขานั้น เทียบไม่ได้เลยกับชีวิตในการออกไปทำงานจริง
ต้องตื่นนอนเวลาตีห้าสี่สิบ พออาบน้ำอาบท่ากินข้าวเช้าเสร็จ จากนั้นก็ต้องรีบกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ที่วุ่นวายด้วยการร่ำเรียนเขียนอ่านตั้งแต่เช้า จนถึงห้าทุ่มถึงจะเข้านอนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เด็ก ม.หกหลายคนต่างก็ไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์ มีแค่วันอาทิตย์ที่พอจะได้หยุดวันนึงหรือไม่ก็แค่ครึ่งวัน เมื่อได้เห็นดวงตาที่อ่อนล้าแต่ละคู่ ๆ ของนักเรียน เขาในฐานะครูก็รู้สึกเป็นห่วงและทุกข์ใจอย่างมาก
เด็กม.หกหลายคนที่ตื่นตัวดีอยู่แล้ว พวกเขาต่างรู้ว่าตนเองกำลังจะต้องเผชิญกับการสอบที่สำคัญที่สุดในชีวิต ส่วนบรรดานักเรียนที่ขี้เกียจทั้งหลาย ก็เริ่มจะพยายามตามให้ทันจนสุดชีวิต ในเวลานี้ สิ่งที่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญ คือความเข้าใจและรู้จักใช้ความอดทนมากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ถามถึงคะแนนของลูกอยู่ตลอดเวลา
ครูจางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ได้เห็นคุณแม่ของหยู่เหวินหวงมองมาที่เขา ก็รีบยับยั้งสีหน้าเอาไว้ แล้วพูดว่า “พวกเราขอขอบคุณ สำหรับการแชร์วิธีการเลี้ยงลูกของคุณพ่อคุณแม่ของหยู่เหวินหวง ขอบคุณครับ!”
เขาเป็นผู้นำในการปรบมืออีกครั้ง หลังจากเชิญหยวนชิงหลิงลงไป เขาก็ขึ้นไปยืนบนแท่นโพเดียม ในใจยังคงซาบซึ้งอย่างมาก การอบรมสั่งสอนจากครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริง ๆ
หลังงานประชุมผู้ปกครอง หยวนชิงหลิงก็ไปที่ระเบียงทางเดินเพื่อคุยกับหยู่เหวินหวง
ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาต่างก็ชอบเขามากจริง ๆ คุณครูก็ชอบเขาเหมือนกัน หยวนชิงหลิงจึงรู้สึกชื่นใจมาก ทั้งยังมีความสุขมากจริงๆ
นับตั้งแต่แฝดสองเกิดมาจนถึงตอนนี้ เธอไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลมากนัก ในทางตรงกันข้าม กลายเป็นว่าทั้งสองคนกลับต้องเป็นฝ่ายเป็นห่วงเป็นกังวลแทน เพราะตอนที่พวกเขาเกิด พลังเหนือธรรมชาติของพวกเขาสูงมาก ตอนที่ยังเป็นทารกแบเบาะ ก็ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลคอยช่วยพ่อแม่ตลอด
สองคนแม่ลูกกอดกันกลม หยู่เหวินหวงยิ้มพลางพูดว่า “แม่ ผมอยู่ที่นี่มีความสุขมากเลยครับ”
“อื้ม แม่มองออกอยู่ !” หยวนชิงหลิงยื่นมือขึ้นไปลูบผมของเขา ต้องยกมือขึ้นจนสูงถึงจะลูบได้ ลูกชายตัวสูงมาก รูปร่างเหมือนพ่อของเขาอย่างยิ่ง
“อื้ม แม่รีบกลับเถอะครับ กลางค่ำกลางคืนเดินระวัง ๆ หน่อยนะ ช่วงนี้ที่โรงเรียนกำลังมีการก่อสร้าง คนเข้าคนออกค่อนข้างเยอะ” หยู่เหวินหวงพูดอย่างใส่ใจ
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นลูกก็กลับไปที่ห้องเรียนเถอะ แม่กลับล่ะ!” หยวนชิงหลิงยากจะตัดใจแยกจาก เพราะเธอจะต้องกลับเดี๋ยวนี้แล้ว จากลากันครั้งนี้ คาดว่าน่าจะต้องรอจนแฝดสองเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยโน่นแหล่ะ ถึงจะได้มาอีกครั้ง
“ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกครับ” หยู่เหวินหวงมองแม่ขณะที่พูดไปด้วย
หยวนชิงหลิงโบกมือหยอย ๆ จากนั้นก็เดินออกไป พอเดินไปที่บันไดก็หันหน้ากลับมามองลูกชายอย่างอาลัยอาวรณ์
หยู่เหวินหวงเห็นดังนั้น ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างหนักแน่นแล้วจับมือเธอ “ผมไปส่งแม่ออกประตูโรงเรียนนะครับ”
“ลูกออกไปได้เหรอ? ดูเหมือนคุณครูจะบอกให้ลูกกลับไปที่ห้องเรียนนะ” แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะพูดอย่างนี้ แต่กลับไม่ปล่อยให้เขากลับไป แค่ยิ้มแล้วถามอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรหรอก ผมแค่ไปส่งแม่ใกล้ ๆ นี้เอง”
พวกเขาเดินจูงมือกันลงบันได พอลงไปแล้วกลับไม่ไปที่หน้าประตู แต่เดินทัวร์ไปรอบ ๆ โรงเรียนรอบหนึ่ง มองดูฝูงชนที่มาร่วมการประชุมผู้ปกครองค่อย ๆ สลายตัวไปทีละคนสองคน ลมพัดแรงมาก ทั้งยังหนาวมากด้วย แต่การได้ใช้เวลาแม้จะครู่หนึ่งสั้น ๆ อยู่กับลูกชายตามลำพังเช่นนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกมีความสุขมาก
“แบบนี้ก็ไม่หนาวแล้ว!” หยู่เหวินหวงยกแขนขึ้นโอบรอบไหล่มารดา หลังจากนั้นหยวนชิงหลิงพลันรู้สึกว่า อ้อมแขนนี้ของเขาปิดกั้นลมหนาวไว้ได้เกือบทั้งหมดเลยทีเดียว
ชั่วขณะนั้น น้ำตาของเธอก็ไหลพรากออกมาทันที
เมื่อไหร่กันที่รู้สึกว่าลูกโตแล้ว?
ในพริบตาที่เราตระหนักได้ว่า ลูกสามารถกันลมบังฝนให้เราได้แล้ว เวลานั้นเราถึงจะนึกประหลาดใจขึ้นมาได้ว่า ลูกของเรานั้นเติบโตขึ้นแล้ว