บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1737 เปิดเผยตัวตน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น พวกเจ้าห้ายังมาไม่ถึง
หยวนชิงหลิงกับคุณย่าไปโรงหมออื่น ๆ ต่อไป คิดว่าหลังจากไปโรงหมออีกสักสองสามแห่งแล้ว
ค่อยไปดูที่จวนปกครองอีกที
ผลคือทันทีที่พวกนางเพิ่งจะเข้าไปในโรงหมอแห่งหนึ่ง ก็เห็นชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินเดินจ้ำอ้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดอย่างร้อนใจว่า “หมอสุย หมอสุย อาการของใต้เท้าทรุดหนักแล้ว เจ้ารีบไปดูเร็วเข้าเถอะ”
เมื่อหมอในโรงหมอได้ยินดังนั้น ก็รีบคว้ากล่องยาขึ้นมา แล้วเดินตามชายวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินไปทันที ทิ้งคนไข้ที่อยู่ในโรงหมอไว้ข้างหลัง
หยวนชิงหลิงเข้ามาหยุดเขาไว้ “เจ้าอยู่ดูแลผู้ป่วยที่นี่เถอะ ท่านย่าของข้าเป็นหมอ ให้นางไปรักษาใต้เท้าผู้ดูแลเมืองดีกว่า”
“อย่ามาพูดจาเหลวไหล!” ชายชุดน้ำเงินร้อนใจมากจนแทบคุมสติไม่อยู่ เอ็ดตะโรใส่หยวนชิงหลิงว่า “อาการป่วยของใต้เท้าเข้าขั้นวิกฤติแล้ว หากล่าช้าไปไม่ทันการ เจ้ารับผิดชอบไหวรึ?”
ย่าหยวนหยิบป้ายประจำตำแหน่งออกมา ยกขึ้นแสดงตรงหน้าชายชุดน้ำเงิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นำทาง!”
ชายชุดน้ำเงินปรายตามองแวบหนึ่ง ใบหน้าที่เดิมทีโกรธเกรี้ยวปานจะกินเลือดกินเนื้อ พลันตกตะลึงอึ้งค้างไปชั่วขณะ หลังกลับมาตั้งสติได้ ก็รีบค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อม “ที่แท้เป็นท่านใต้เท้าผู้ดูแลสำนักการแพทย์นี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ได้โปรดอภัยให้ด้วยขอรับ”
“อย่ามัวอภัยไม่อภัยอยู่เลยน่า นำทางเถอะ” หยวนชิงหลิงตัดบท
“ขอรับ! ขอรับ!” ชายชุดสีน้ำเงินรีบก้าวถอยหลัง แสดงท่าทางเชื้อเชิญ “รถม้าอยู่ข้างนอกแล้ว ขอเชิญท่านใต้เท้าขอรับ”
หยวนชิงหลิงช่วยพยุงคุณย่ายขึ้นไปบนรถม้า แล้วตรงไปที่จวนปกครองทันที
ใต้เท้าผู้ดูแลเมืองไม่มีจวนของตนเอง เขาอาศัยอยู่ที่เรือนหลังของจวนปกครอง เขาไม่มีครอบครัวต้องดูแล อยู่ลำพังคนเดียว การอาศัยอยู่ที่จวนปกครองไปเลยจึงสะดวกกว่า
หลังจากเข้าไปในเรือนหลังจวนปกครอง ทุกคนสวมหน้ากากเสร็จก็เดินเข้าไป
อาการของเจ้าเมืองโจว นั้นค่อนข้างร้ายแรง มีอาการเวียนหัวและเจ็บหน้าอก ได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงไม่มีแม้แต่แรงจะพูด
หยวนชิงหลิงลงมือรักษาให้ด้วยตัวเอง เปิดกล่องยานำปรอทวัดอุณหภูมิกับหูฟังออกมา
ชายชุดน้ำเงินถามด้วยความสงสัย “ท่านก็เป็นหมอด้วยหรือขอรับ?”
ย่าหยวนยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นว่า “นางเป็นหมอ แล้วก็ยังทำหน้าที่เป็นฮองเฮาคนปัจจุบันด้วย”
หลังจากไปเยี่ยมชมเมืองมาแล้วหนึ่งวันเต็ม ย่าหยวนสามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า โรค
ระบาดครั้งนี้รุนแรงขึ้นกว่าที่ผ่านมาจริง คิดจะป้องกันและควบคุมโรคระบาด อย่างไรก็ต้อง
เปิดเผยตัวตนให้คนรู้
ชายชุดน้ำเงินตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงก สมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ คุกเข่าลงโดยไม่รู้ตัว พูดด้วยความหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือดสีว่า “ฮองเฮา? ข้าน้อยถวายบังคมฮองเฮา!”
เมื่อคนในเรือนเห็นว่าชายชุดน้ำเงินคุกเข่าลง ก็พากันคุกเข่าตามเป็นทอด ๆ ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริศ ทำไมฮองเฮาถึงเสด็จมาที่นี่ได้ล่ะ?
คุณย่าหยวนเป็นถึงหัวหน้าสำนักงานใหญ่ เมื่อครู่ตัวตนของนางถูกเปิดเผยไปแล้ว ไม่ว่านางพูดอะไรก็ไม่มีใครกล้าถามไถ่สงสัยแม้แต่ครึ่งคำ
เจ้าเมืองโจว ลืมตาขึ้นมองหยวนชิงหลิง ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จไปชั่วขณะ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่อ่อนโยน แต่กลับแฝงร่องรอยของความสง่างามและดุดันในที เขาก็อดถามไม่ได้ว่า ” ท่านคือ…..ฮองเฮาจริง ๆ น่ะหรือ?”
หยวนชิงหลิงส่งเสียงตอบรับดัง” อืม” เสียงหนึ่ง “เจ้านอนลงเถอะ ข้าจะให้ยาเจ้าเสียหน่อย รอให้
รู้สึกดีขึ้นแล้ว ค่อยมาคุยกันถึงเรื่องโรคระบาดครั้งนี้”
“กระหม่อม…” เจ้าเมืองโจว พยายามจะลุกขึ้น ท่าทางตื่นเต้นมาก “กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮา!”
“ไม่ต้องลุกขึ้น นอนลงไป!” หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว “อาการของเจ้าร้ายแรงไม่น้อย นอนดี ๆ!”
“กระหม่อมเกรงพระอาญา กระหม่อมไม่กล้า อย่างไรให้คนไปเชิญหมอมาดีกว่า…”
“หุบปาก!” หยวนชิงหลิงดุเสียงเข้ม ดึงเข็มออกมาแล้วเจาะเข้าไป
เจ้าเมืองโจว ไม่กล้าขยับตัว ถึงกับต้องกลั้นหายใจ แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางระดับห้าของราชสำนัก แต่ทุกครั้งที่ไปเมืองหลวงเรื่องงาน ก็จะได้พบเพียงโสวฝู่เหลิ่งตลอด ไม่เคยได้พบฮ่องเต้หรือฮองเฮามาก่อนเลย
สวรรค์ ฮองเฮารักษาเขาด้วยพระองค์เองเชียวนะ!
เขาวิตกประหม่าเหลือเกินแล้ว!
“ทุกคนลุกขึ้นให้หมด ออกไป ไม่ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ ใครที่ควรสวมหน้ากากก็จงสวมหน้ากาก ยังมีอีก ให้นับจำนวนคนป่วยในจวนปกครองให้ละเอียดว่ามีมากน้อยเท่าไหร่ ครึ่งชั่วยามหลังจากนี้ให้มารายงานข้า”
หยวนชิงหลิงแทบไม่เคยแสดงสถานะเป็นฮองเฮาเลย แต่ถ้ายังมัวแสดงท่าทีอ่อนโยนรักใคร่ในเวลานี้ไม่เลิก มีแต่จะยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นเสียมากกว่า
“พ่ะย่ะค่ะ ๆ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้!” ชายชุดน้ำเงินยืนโขกหัวเสร็จก็ลุกขึ้น หลังจากยืนโคลงเคลงง่อนแง่นครู่หนึ่ง ก็ค้อมกายคำนับอีกครั้ง ลนลานจนตัวสั่นงันงกไปทั้งเนื้อทั้งตัว เดินถอยหลังงก ๆ เงิ่น ๆ ไปจนถึงหน้าประตู ถึงค่อยหันหลังแล้วเดินจากไป