บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1752 ถึงจะรู้ความขมขื่นเหล่านั้น
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1752 ถึงจะรู้ความขมขื่นเหล่านั้น
ครั้นทุเลาอาการเมา ตื่นมาก็ฟ้าสางแล้ว
สามใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ดวงตายังมึนงงเล็กน้อย ราวกับไม่รู้วันรู้คืน
ดวงอาทิตย์แรกแย้มค่อยๆ คล้อยขึ้น ปุยเมฆสีส้มทางขอบฟ้าค่อยๆ กลายเป็นสีทองเข้ม ด้านริมยังคลุมด้วยสีแดงอีกชั้น สะดุดตายิ่งนัก
เซียวเหยากงขยี้ตา “ข้าฝันไป”
โสวฝู่ฉู่กับอู๋ซ่างหวงต่างมองเขาเป็นตาเดียว เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เจ้าฝันถึงอะไร?”
“จักจั่นถูกหลอก เราสามคนไปช่วยนางแก้แค้น”
โสวฝู่ฉู่กับอู๋ซ่างหวงสูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน เบิกตาโพลง “ผีหลอก!”
ครั้นสิ้นเสียง ทั้งสองก็มองกัน แล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าก็ฝันหรือ?”
“ใช่!”
“ใช่!”
“ไม่กระมัง? เราสามคนฝันถึงตอนนั้นหรือ?” เซียวเหยากงก็แปลกใจด้วย
ทั้งสามต่างประหลาดใจหนัก เพราะเรื่องในอดีตช่วงนั้นไม่สำคัญเท่าไร พวกเขาลืมความเป็นไปนานแล้ว จำได้แต่เพียงว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่เท่านั้น
แต่ในความฝัน เรื่องนี้กลับปรากฏขึ้นชัดเจน
แต่ต้องพูดเลย ว่าเรื่องนี้ทำให้พวกเขาที่ได้รับความกดดันอย่างหนักในตอนนี้มีข้ออ้างดีๆ ในการระบายอารมณ์
ใช้ความลำบาก ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความกดดันทั้งหมดระบายออกทางกำปั้น
และในเวลานั้นเอง ถึงทำให้อู๋ซ่างหวงนึกขึ้นมาได้ว่าตนละเลยฮองเฮาซูเสี่ยวเม่ยไป
“สถานการณ์ในตอนนั้นพวกเจ้ายังจำได้ไหม?” เห็นชัดว่าโสวฝู่ฉู่ตื่นเต้นเล็กน้อย
“ก็ต้องจำได้สิ ตอนนั้นซูเฟิ่งซูเฟิ่งเพิ่งเข้าวังได้ไม่นาน คิดถึงคนที่หอจัยซิงอยู่มาก แล้วตอนนั้นข้าก็เอาแต่ขลุกอยู่กับพวกเจ้า ละเลยนาง ก็เลยให้ท่านน้าที่หอจัยซิงกับจั่กจั่นเข้าวังมาพูดคุยเป็นเพื่อน”
อันที่จริงก็จำไม่ได้แล้ว แต่ปรากฏขึ้นในฝันอีกครั้ง ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ จึงแจ่มชัดขึ้น
ตอนนั้นหารือเรื่องราชกิจที่ห้องทรงพระอักษร ครั้นเสร็จซูฟู่ก็เอ่ยถามขึ้นลอยๆ ว่าฝ่าบาทไม่ได้ไปเยี่ยมฮองเฮานานมากแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ?
เขาย่อมรู้ว่าที่ซูฟู่ถามขึ้นก็เพราะจะเตือน ให้เขาไปเยี่ยมซูเสี่ยวเม่ยบ้าง
ก็สมควรต้องไปจริงๆ
เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษร เขาก็ไปวังหลัง เห็นท่านน้าของพี่สะใภ้กับจักจั่นอยู่เป็นเพื่อนที่วังหลัง
เขาก็กำลังวุ่นวายใจกับเรื่องในราชสำนัก พูดสองสามคำแล้วจึงจากไป
แต่ฉางชี่อยู่คุยสนทนากับพวกจักจั่นที่วังหลัง หลังจากกลับมาก็บอกเขาว่าจักจั่นรู้จักกับชายผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นบอกว่าจะขอนางแต่งงาน เอาเงินที่นางเก็บด้วยความยากลำบากไปทำการค้า จากนั้นก็ตัดสัมพันธ์ทำเป็นไม่รู้จัก จักจั่นไปหาหลายครั้งแต่ก็ถูกไล่ออกมาทุกที แล้วยังใส่ความนางว่าคิดถึงผู้ชายจนวิปลาสอีก
ตอนนั้นพวกเขาทั้งสามยังอยู่ในวัง เมื่อได้ยินฉางชี่กลับมาเล่าความแล้วก็ตกใจมาก
เพราะนิสัยจักจั่นเผ็ดแสบนัก คนทั่วไปรังแกนางไม่ได้ หลอกความรู้สึก แล้วยังถูกหลอกเงิน ไยไม่ให้พวกองครักษ์ลับผีไปแก้แค้นให้เล่า?
ฉางชี่บอกว่านางกลัวว่าคนในหอจัยซิงจะหัวเราะเยาะ จึงกล้ำกลืนความเจ็บแค้นนี้
ทั้งสามได้ยินดังนั้นแล้วก็มีไฟสุมทรวง ให้ฉางชี่ไปสืบฐานะของชายเลวผู้นั้นให้แน่ชัด จากนั้นก็ให้คนไปจัดการ
พอดีกับที่ฉางชี่ไปสืบความกลับมา พี่สะใภ้ก็กลับมาจากจื๋อลี่ ครั้นได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ก็เดือดดาลมาก เลิกแขนเสื้อเอ่ยเสียงเย็น “หลอกความรู้สึกยังพอให้อภัย แต่หลอกเงินไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ได้ ข้าจะไปหาเขา!”
ทั้งสามจึงพลันเอ่ย “พวกเราจะไปด้วย!”
รังแกแม่ครัวใหญ่ที่เคยตักอาหารให้พวกเขา ไฟโทสะนี้อดไม่ได้จริงๆ!
แถมช่วงนี้ก็อารมณ์ยอดแย่พอดี ความกดดันใหญ่อย่างภูเขาไท่ซานไม่อาจขจัด ถือเป็นเครื่องมือคลายอารมณ์ที่ส่งมาถึงที่แล้วกัน
ครั้นฉางชี่สืบได้ฐานะของคนผู้นั้นแล้ว ด้วยการนำของพี่สะใภ้ พวกเขาก็ออกเดินทางทั้งคืน หาชายผู้นั้นเจอแล้วก็ซ้อมไปยกหนึ่ง ชิงเงินของจักจั่นกลับมา ถอดเสื้อผ้าของเขามัดติดกับต้นไม้ปากทางหมู่บ้าน พี่สะใภ้ยังเขียนป้ายแขวนให้เขาอีก ว่าชายเลวที่หลอกความรู้สึกหลอกเงิน!
ซ้อมคน…ที่แท้ก็สบายใจดีจริงๆ
ครั้นกลับวังเอาเงินคืนให้จักจั่นแล้ว จักจั่นก็ร้องไห้ฟูมฟาย
ซูเสี่ยวเม่ยปลอบใจนาง บอกนางต่อไปอย่าได้โง่เขลาเช่นนี้อีก
จักจั่นจึงร่ำไห้พูดกับซูเสี่ยวเม่ย “พระองค์ไม่ทราบ พระองค์ได้อภิเษกกับบุรุษดีเยี่ยงฝ่าบาท ไม่ทราบความระทมของหม่อมฉันหรอกเพคะ”
นาทีนั้นเขาจึงนึกขึ้นได้ ว่าหลังจากตัวเองแต่งซูเสี่ยวเม่ยมาแล้วก็ละเลยนางมาตลอด แต่คนนอกกลับอิจฉานาง เพราะเก็บซ่อนความขมขื่นของตัวเองเอาไว้