บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1753 นี่เป็นแผ่นดินขอข้า
หวนนึกถึงเรื่องนี้ในอดีต เนื่องจากปรากฏอยู่ในความฝัน ดังนั้นจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน
พวกเขาในตอนนั้น เป็นชายหนุ่มที่เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่เวลานี้พวกเขากลับเป็นคนแก่ที่ว่างจะตายอยู่แล้ว
เรื่องราวความหลังกลายเป็นเมฆหมอก ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียผู้คนมากมาย
อู๋ซ่างหวงนึกถึงฮองเฮาของเขา ซูเสี่ยวเม่ย ซูเฟิ่ง
ชาตินี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาในรูปแบบมาตรฐาน เขาเป็นหลักในราชสำนัก นางเป็นหลักในวังหลัง เขาไม่เคยรังแกนาง แต่ก็ไม่เคยให้ความรักการดูแลมากเช่นกัน
ใช้ชีวิตอย่างราบเรียบมาตลอดชีวิต กระทั่งวันนั้นที่นางจากไป หัวใจเขาทุกข์ระทมหนัก ราวกับขาดส่วนหนึ่ง
เขาคิดมาตลอดว่าจะจากไปก่อนนาง แต่คนที่อยู่เคียงข้างมาตลอดชีวิตกลับจากเขาไปก่อน
ทั้งสามใจเต้นระรัวอยู่นาน จากนั้นก็เข้าสู่การเดินทางต่อ
เกี่ยวกับเรื่อง[เหว๋ยอู๋ตู๋จุน]ก็สั่งสมจนใหญ่โต แต่ทุกการทะเลาะวิวาทสุดท้ายก็ยุติอย่างสันติได้ ทุกความโอหังก็ค่อยๆ ปิดฉากไป ไม่มีค่าให้สนใจจริงๆ
แต่ด้วยคลิปวิดีโอระหว่างทางของทั้งสามที่มากขึ้นเรื่อยๆ [เหว๋ยอู๋ตู๋จุน]ก็ถูกด่าหนักยิ่งขึ้น
จอมยุทธ์คีย์บอร์ดร้ายกาจมาก ในความเป็นจริงหากด่าคนไปเรื่อยก็จะถูกต่อยได้ แต่ในอินเทอร์เน็ต ขอเพียงมีเหตุผลที่ถูกหลักทำนองคลองธรรม ก็ควรเอาคีย์บอร์ดมาผดุงความยุติธรรมเยี่ยงจอมยุทธ์
วันหนึ่ง โสวฝู่ฉู่นั่งลงเปิดเว็บเพจอยู่นาน อ่านคอมเมนต์มากมาย เขาราวกับมีความคิด พบคลิปวิดีโอหนึ่ง คลิปนั้นถ่ายภาพอาทิตย์อัสดง อาทิตย์อัสดงคล้อยตัวลงเขาไป จากนั้นก็ประกอบกับตัวหนังสือ มีเพียงประโยคเดียว “ขอให้ไม่มีการโต้แย้ง มีแต่สันติสุข!”
เขาหวังว่าความโต้แย้งทั้งหลายจะจบฉากลงได้กระมัง อย่าได้บีบคนให้จนตรอก สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่ใช้ปากถกเถียงแพ้ชนะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
อือ….โดยหลักเป็นเพราะไม่คู่ควร!
หลังจากเผยแพร่คลิปวิดีโอออกไปสองวัน ในที่สุด[เหว๋ยอู๋ตู๋จุน]ก็อัปโหลดคลิปวิดีโอขออภัย สำนึกผิดกับการประชันเอาชนะ ดูถูกวิชายุทธ์ นับแต่นี้จะออกจากวงการวิดีโอคลิปสั้น แล้วยัง@ไอดี[ยามอาทิตย์อัสดง] ขอโทษด้วยความจริงใจอีก
การขอโทษด้วยความจริงใจมักได้มาซึ่งความเข้าใจและให้อภัย ในที่สุดเหล่าจอมยุทธ์ก็หยุดก่นด่า
พวกเขาคิดว่าจะกลับเมืองก่วงในเดือนห้า และยังไม่คิดมีแผนการท่องเที่ยว เพราะเดือนหกเด็กๆ ก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
หากใช้คำพูดของโสวฝู่ก็คือ พวกเขาจะสอบจอหงวน ในฐานะที่เป็นครอบครัวก็ต้องอยู่ข้างกายสนับสนุน
ตอนนี้เป็นปลายเดือนสามแล้ว ต้องรีบไปสถานที่ที่ยังไม่เคยไป
ณ เป่ยถัง การประพาสของราชวงศ์ก็กำลังอยู่ระหว่างทาง
พวกเขาเดินทางไปสามเมือง และไม่ได้เปิดเผยฐานะ เดินทางปะปนกับชาวบ้าน กินๆ ดื่มๆ แล้วลวดเที่ยวชมทิวทัศน์
หยู่เหวินเห้าผ่อนคลายอย่างที่สุด แม้ข้างกายจะมี ก ข ค อีกเป็นกอง แต่เวลาที่ควรหวานแหววก็จะไม่คำนึงถึงสิ่งใดเด็ดขาด
พวกเขาไปที่เขาหลิงซานทางเหนือ
ที่นี่อากาศหนาว เขาซานหลิงอยู่ท่ามกลางธารน้ำแข็ง หยวนชิงหลิงประเมินความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณห้าหกพันเมตร
เมื่อแน่ชัดว่าจะขึ้นไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็ให้พวกเขากินยา เพราะห้าพันเมตรเกิดปฏิกิริยาแพ้ที่สูงได้ง่าย
เดิมทุกคนต่างอกผายไหล่ผึ่งคิดว่าไม่เกิดปฏิกิริยาแพ้ที่สูงอะไรอย่างที่ฮองเฮาว่าแน่ โดยเฉพาะสวีอี คิดว่าร่างกายตัวเองกำยำ เขาสูงเพียงไรก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วถึงขนาดปฏิเสธที่จะกินยา
สุดท้ายที่เกิดปฏิกิริยาแพ้ที่สูงหนักที่สุดก็คือเขา
ขณะที่เวียนศีรษะหูอื้อ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมพูด หน้าซีดขาวเป็นไก่ต้ม เลือดลมอย่างกับน้ำเดือด เดินกำลังปรับการหายใจตลอดทาง ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เด่นชัด
สุดท้ายหยวนชิงหลิงจึงให้หยู่เหวินเห้ากดเขาไว้ ให้เขากินยา สูดออกซิเจน แล้วห้ามไม่ให้เขาขึ้นเขาอีก
คนอื่นๆ ก็มีอาการบ้างมากบ้างน้อย แต่ยอดเขาอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว หยู่เหวินเห้าจึงตัดสินใจจะขึ้นเขากับหยวนชิงหลิงแค่สองคน ให้คนอื่นๆ รออยู่กับที่
เมื่อสลัดพวกเขาไปได้แล้ว ทั้งสองก็ขึ้นเขากันอย่างรวดเร็ว ความสามารถบางอย่างแม้พวกเขาเองจะรู้ แต่ทางที่ดีก็อย่างให้พวกเขาเห็น
เมื่อยืนอยู่จุดสูงสุดของเขาหลิงซาน ยืนเคียงข้างกัน มองเทือกเขาที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกแล้ว ก็รู้สึกแต่เพียงงดงามสุดบรรยายจนลืมหายใจ
“นี่ก็คือแผ่นดินเป่ยถังเรา!” หยู่เหวินเห้าเอ่ยเสียงเบา ศรัทธา จริงจัง และเจือความภาคภูมิอีกเล็กน้อย