บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1754 ไปหนานเจียงแล้ว
หยวนชิงหลิงเขย่งปลายเท้าจุ๊บที่แก้มเขา รอยยิ้มสดใสประหนึ่งบุปผา
หยู่เหวินเห้ากอดนางเข้าไว้ในอ้อมแขน “เจ้าหยวน ดีใจไหม?”
“ดีใจสิ”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเวลานี้ แต่วันเวลาทั้งหมดหลังจากที่เจ้าอยู่กับข้า”
“ดีใจ มีความสุข!” หยวนชิงหลิงหัวเราะเยาะตัวเอง “ใครจะคิดว่าข้าที่เป็นหญิงติดบ้าน จะแต่งงานได้มีความสุขเช่นนี้?”
นางเคยคิดว่าตัวเองต้องเป็นโสดตลอดชีวิต ขายไม่ออก
ชีวิตที่ขาดความรัก เมื่อก่อนนางไม่คิดว่าจะเป็นความขาดหาย
ก็แค่ความรัก
แต่ที่แท้ความรักนั้นสำคัญมากจริงๆ
นั่งอยู่บนยอดเขา แม้นสายลมหนาวพัดผ่านแต่กลับไม่รู้สึกหนาว รู้สึกเพียงต้องดูทิวทัศน์เบื้องหน้าให้ละเอียด ต้องจดจำความรู้สึกนาทีนี้ไว้ ฝังลึกตราตรึงในสมอง
เอาไว้พวกเขาแก่ตัวลงแล้วก็ค่อยๆ หวนคิดถึง
หลังจากลงเขาหลิงซานแล้ว พวกเขาก็เดินทางต่อ ครั้งนี้พวกเขาจะไปหนานเจียง
หลังปีใหม่เจ้าเก้าพาเจ้าแปดกลับหนานเจียง ไม่รู้ว่าเขาอยู่หนานเจียงจะคุ้นเคยดีหรือไม่?
ดินแดนหนานเจียงนี้เขาไม่ได้มาเหยียบนานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็คือตอนที่มาช่วยจิ้งเหอ
ระหว่างทางหงเย่นิ่งเงียบอยู่ตลอด
เหลิ่งจิ้งเหยียนถามเขา “หากเจ้าไปหนานเจียง อยากพบอะโฉ่วไหม?”
“อือ พบสักหน่อยแล้วกัน” หงเย่เอ่ย
“ควรต้องพบ!”
อย่างไรก็เป็นคนที่ติดตามเขามานาน อะโฉ่วจะส่งจดหมายมาบ่อยๆ เพียงแต่ไม่บอกสภาพการณ์ของตัวเองเท่านั้น
แต่เวลาที่เจ้าเก้าส่งจดหมายมา ก็จะพูดถึงสถานการณ์ของภาคเหนือของหนานเจียง
บัดนี้หนานเจียงถือว่าเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ภาคเหนือกับภาคใต้ก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ หลายปีมานี้เพราะเรื่องผลประโยชน์บางอย่าง ทั้งสองฝ่ายจึงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากขึ้น
เคยเอ่ยถึงสภาพการณ์ของอะโฉ่ว นางอยู่ที่ภาคเหนือเป็นที่นิยมของประชาชนมาก อารมณ์และนิสัยก็ร่าเริงมากกว่าแต่ก่อน ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
หงเย่รู้สึกคาดหวังแล้วยินดีประมาณหนึ่ง ตอนนี้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และหวังว่าอะโฉ่วก็เช่นกัน
หยู่เหวินเห้าบอกว่าหลังจากกลับจากหนานเจียงแล้วก็จะไปที่หัวเมืองชายแดนของเด็กๆ ที่แล้วมามีแต่เห็นจากฎีกา เขาต้องการไปเห็นด้วยตัวเอง และนี่จะเป็นสถานีสุดท้ายของเขา
ช่วงเวลาที่อยู่หนานเจียงครั้งนี้ไม่นานนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้หงเย่ส่งพิราบสื่อสารถึงอะโฉ่ว ให้นางมาพบ
หงเย่ยักไหล่ “ที่จริงจะพบหรือไม่พบก็เฉยๆ เมื่อก่อนเราใช้ส่งจดหมายส่งหากัน!”
แต่หลังจากพูดอย่างเฉยเมยกับหยู่เหวินเห้าแล้ว เขาก็วิ่งพรวดไปแย่งพิราบสื่อสาร
พิราบสื่อสารรู้แต่ไปภาคใต้ ดังนั้นเมื่อมันไปถึงที่นั่นแล้ว เจ้าเก้าก็ต้องส่งพิราบไปแจ้งอะโฉ่วอีกที
แต่นั่นก็รวดเร็วมาก ขณะที่พวกเขาถึงจวนอ๋องหนานเจียง อะโฉ่วก็มาถึงแล้ว
บัดนี้มิได้เป็นนายกับบ่าวอีก แต่เป็นพี่น้อง
อะโฉ่วเปลี่ยนแปลงมากจริงๆ ครั้นเห็นหงเย่ก็ว่าวิ่งพรวดเข้ามา ผลักเหลิ่งจิ้งเหยียนที่อยู่ข้างกายเขาแล้วโถมตัวเข้าใส่อ้อมอกเขาทันที ร้องห่มร้องไห้ มีเสน่ห์สาวน้อยเต็มประดา
เหลิ่งจิ้งเหยียนไม่ได้ระวังว่านางจะตื่นเต้นเพียงนี้ ถูกผลักเซไปด้านหลัง เหยียบเท้าของหยู่เหวินเห้า แล้วกระแทกหยู่เหวินเห้าล้มลงกับพื้น
เขาเองก็ยังไม่ได้ยืนดี เซไปด้านหลังอีก เหยียบไปที่ข้างขาของหยู่เหวินเห้า สุดท้ายก็ยังล้มลงกับพื้น เอวทับอยู่กับหน้าของหยู่เหวินเห้า
ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ น้อยครั้งนักที่หยู่เหวินเห้าจะเกิดเรื่องย่ำแย่เช่นนี้ โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นประมุขแห่งแคว้น เพิ่งถึงจวนอ๋องหนานเจียง ประตูใหญ่ยังไม่ทันได้เข้า ก็ถูกเหยียบอยู่กับพื้น ทั้งยังเกือบเหยียบถูกตรง…เอิ่ม ตรงนั้น
เขาผลักเหลิ่งจิ้งเหยียนออกไป เอ่ยด้วยความโมโห “จะล้มไปไกลหน่อยมิได้หรือ?”
สวีอีเดินเร็วเข้ามา พยุงโสวฝู่ก่อน แล้วค่อยพยุงหยู่เหวินเห้าขึ้นมา “ฝ่าบาท เป็นอะไรไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ทางเจ้าเก้าก็พาเจ้าแปดวิ่งออกมา เดิมไม่นึกว่าพวกเขาจะถึงเร็วขนาดนี้ สุดท้ายกลับเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้หนึ่งวัน
“พี่ห้า พี่สะใภ้!” ครั้นเจ้าแปดเห็นหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงก็ดีใจยกใหญ่ วิ่งออกมาทันที ตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ “พวกท่านมาแล้วจริงๆ? ยังนึกว่าน้องเก้าจะหลอกข้าแน่ะ!”
“เคยชินไหม? คิดถึงบ้านหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าได้เห็นน้องชายก็ดีใจเช่นกัน ลูบใบหน้าเขานิดหน่อยแล้วเอ่ยถาม