บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 176 เจ้าไม่กลัวโดนเอาคืนหรือ
หยู่เหวินเห้าประหลาดใจมาก เพราะคิดว่านางจะพูดต่อว่าสองสามความ แต่นางกลับพูดปัญหาขึ้นมาตรงๆ เลย
และนั่นก็คือ เรื่องตำแหน่งรัชทายาทของอ๋องฉีที่กำลังสั่นคลอนในตอนนี้
และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้โสว่ฝู่ฉู่ไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
เขาเองก็รู้สึกแปลกใจมาก ที่นางไม่คิดอยากได้ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทเลยหรือ? ถ้าได้เป็นพระชายาแล้ว ต่อไปก็ถือว่ามีตำแหน่งฮองเฮาเลย และก็แน่นอนว่าต้องให้ถึงวันที่เขาได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอย่างแน่นอนแล้ว
“เจ้าไม่คิดอยากให้ข้าแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทจริงๆ หรือ?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างแปลกใจ “แล้วทำไมถึงกลายเป็นความหวังของข้าแล้วล่ะ? เพราะข้าไม่ได้จะเป็นองค์รัชทายาท”
“ถ้าข้าได้เป็นองค์รัชทายาท เจ้าเองก็จะได้ขึ้นเป็นพระชายาด้วย”
หยวนชิงหลิงหัวเราะออกมาทันที “แล้วตำแหน่งชายาองค์รัชทายาทกับชายาอ๋องมันต่างกันอย่างไร?”
“จะไม่ต่างกันได้อย่างไร? เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้ หรือว่าเจ้าไม่อยากเป็นฮองเฮาหรือ?” หยู่เหวินเห้าหันมามองนาง
หยวนชิงหลิงย้ายแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วพูดขึ้นเบาๆ : “ความคิดมันง่าย แต่ว่าหนทางค่อนข้างเสี่ยง ไม่คุ้ม”
และยังเป็นประโยคนั้น ลงทุนมากแต่ไม่คุ้ม
“เพียงแต่” หยู่เหวินเห้ามองนาง แล้วถามขึ้นเพื่อหยั่งเชิง “ถ้าหากว่าอ๋องฉีสามารถครองตำแหน่งรัชทายาทไว้ก็คงดี แต่ถ้าหากว่าทำไม่ได้ คนที่ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้ ไม่มีทางปล่อยเจ้ากับข้าอย่างแน่นอน ดังนั้น ถึงไม่แก่งแย่งมาสุดท้ายก็อาจจะถูกตัดหัวเหมือนเดิม”
หยวนชิงหลิงกลอกตาไปมา “ท่านคิดอย่างนั้นหรือ?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้าช้าๆ “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่คิดเรื่องไม่ดีไว้ก่อน”
ถ้าหากว่าจะเป็นแบบนั้นจริง เขาก็ไม่มีทางเลี่ยง
หยวนชิงหลิงหยักไหล่ “ที่จริงตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล เสด็จพ่อยังหนุ่มอยู่ ตอนนี้คิดหาวิธีช่วยหยวนเจ๋ก่อน เรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องเร่งด่วน”
หยู่เหวินเห้าหยุดคิด แล้วหันมามองนาง : “เจ้าพูดถูก ในเมื่อเจ้าเองก็เห็นด้วยกับแผนนี้ งั้นตอนนี้ไปเข้าเฝ้าเถอะ”
สายตาของเขามีท่าทีแปลกๆ “ในเวลานี้ เสด็จพ่อน่าจะหารือกับเหล่าขุนนางอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร”
“ข้าไปเอง ท่านก็ทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องอะไร” หยวนชิงหลิงพูด
“เข้าใจแล้ว!” ที่จริงเรื่องนี้เขาไม่ควรจะรับรู้ ไม่อย่างนั้น เสด็จพ่อจะยิ่งทรงกริ้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนกำลังปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางอยู่ พอหยวนชิงหลิงมาถึงด้านนอกห้องทรงพระอักษร ก็พลันคุกเข่าลงทันที จนทำให้มู่หรูกงกงใจหายใจคว่ำ
“โธ่ พระชายา ท่านทำอะไรของท่าน? รีบลุกขึ้นเถอะ!” มู่หรูกงกงเดินเข้ามาเพื่อพยุงนาง
หยวนชิงหลิงมีท่าทีทุกข์ใจอย่างมาก “ไม่ กงกง ท่านให้ข้าคุกเข่าเถอะ ข้ามีความผิดที่ไม่อาจจะให้อภัยได้ และมาเพื่อให้เสด็จพ่อลงโทษ”
มู่หรูกงกงไม่กล้าให้นางคุกเข่าตรงนี้ จึงรีบเข้าไปกราบทูลฮ่องเต้หมิงหยวน
พอฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินเรื่องนี้ ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที “ไล่นางกลับไปไม่เห็นหรือว่าข้ายุ่งอยู่?”
“ฝ่าบาท เกรงว่าจะไม่ง่ายนักพ่ะย่ะค่ะ!” มู่หรูกงกงพูดขึ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกฉุนเล็กน้อย พลางลุกขึ้น “ให้นางไปพบข้าที่ตำหนักข้าง”
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากัน พระชายาอ๋องฉู่คุกเข่าขอรับโทษหรือ?
ตำหนักข้างกับห้องทรงพระอักษรไม่ไกลกันมาก ฮ่องเต้หมิงหยวนพึ่งเดินเข้ามาถึง หยวนชิงหลิงก็ถูกนำตัวเข้ามาอีกประตูของตำหนักข้าง
หยวนชิงหลิงคุกเข่าลง ยังไม่ทันจะพูดอะไร ฮ่องเต้หมิงหยวนก็พูดขึ้นเสียงแข็ง: “ลุกขึ้น ข้ารู้ว่าเจ้ามาเพื่อจุดประสงค์อะไร รีบออกไปจากวังเดี๋ยวนี้”
หยวนชิงหลิงรู้อยู่แล้วว่าเขาจะรู้ทัน แต่ว่านางจำเป็นต้องเล่นต่อ นางจึงพูดขึ้นด้วยท่าทางเศร้าโศก : “เสด็จพ่อ เรื่องเฝ้าประตูเมือง ลูกขอรับผิดทุกอย่างเพคะ”
“มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้ากำลังจะเล่นตลกอะไร?” ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกทนไม่ไหวที่อ๋องฉู่กับชายากำเริบมากขึ้นทุกวัน
หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้นเสียงดังฉะฉาน: “เกี่ยวเพคะ ลูกเป็นถึงพระชายา ซึ่งได้รับพระกรุณาจากราชวงศ์ และได้รับการเลี้ยงดูจากประชาชน ตอนก่อนจะเกิดเรื่องนั้น แม้ว่าลูกจะไม่สามารถยับยั้งและรักษาได้ทันท่วงที จนทำให้มีผู้บาดเจ็บมากมาย ในสถานการณ์ตอนนั้นชุลมุนมาก เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้องโทษหม่อมฉัน ที่ไม่เข้าไปยับยั้งเหตุการณ์ตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนนั้นหม่อมฉันก็อยู่ที่ประตูเมือง มองเห็นประชาชนต่อแถวกันอย่างไม่สงบ ก็รู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่อง แต่กลับไม่ยอมตัดสินใจสั่งคนมารายงานที่เมืองจิงเป่ย ตอนนี้ประชาชนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ว่าพระชายาอ๋องฉีนั้นจอมปลอม อยากได้ชื่อเสียงจากพวกเขา หม่อมฉันที่เป็นพระชายาเหมือนกันก็รู้สึกไม่สบายใจ ประชาชนต่อว่าพระชายาอ๋องฉี มีหรือจะไม่ต่อว่าหม่อมฉันด้วย? หม่อมฉันคิดแล้วคิดอีก ก็ยิ่งไม่สบายใจ จึงจำเป็นต้องเข้ามารับโทษกับเสด็จพ่อเพคะ โดยให้เสด็จพ่อลงโทษเพื่อความสบายใจของประชาชนเพคะ”
หยวนชิงหลิงคิดว่า การสอนของหยู่เหวินเห้าที่ให้พูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นนั้น และไม่ควรที่จะพูดให้ร้ายฉู่หมิงชุ่ยคนเดียว ในเมื่อนางต้องการจะมาเป็นแพะรับบาป ก็ห้ามปล่อยฉู่หมิงชุ่ยไปเด็ดขาด ต้องหาทางลากนางเข้ามารับโทษด้วยกันถึงจะยุติธรรม
ข้อนี้ ต้องขอบคุณการสอนจากไท่ซ่างหวง ถ้าหากคิดจะทำอะไรต้องทำให้เด็ดขาด
ฮ่องเต้หมิงหยวนโมโหจนควันออกหู
แต่ว่า ท่าทางใสซื่อและจงรักภักดีของนาง พร้อมกับน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น มันเหมือนกับว่านางรู้สึกว่าตัวเองทำผิดหนักหนามาก และที่สำคัญที่สุดนั้น เหล่าขุนนางจะได้ยินเสียงกริ้วของเขาไม่ได้
“ออกไปจากวัง!” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดออกมาแค่นี้ พลันกดเสียงต่ำด้วยความโมโห: “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าจัดการเจ้า ถึงได้คืบจะเอาศอกแบบนี้ สักวันเจ้าต้องถึงจุดจบ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก ขนาดมู่หรูกงกงที่ดูอยู่ยังกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
หยวนชิงหลิงเองก็แทบช็อกแล้ว พลางหมอบลงไปที่พื้น เอามือสอดเข้าแขนเสื้อ เนื้อตัวสั่นไปหมด แทบไม่กล้ากระดุกกระดิกเลย
และในตอนที่ความโกรธของฮ่องเต้หมิงหยวนกำลังจะระเบิดนั้น กลับเห็นนางค่อยๆ ยื่นมือออกมาพร้อมของบางอย่าง ส่งมาที่ด้านหน้าเขา พลางมองมาที่เขาด้วยท่าทางน่าสงสาร
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าสมองกำลังจะระเบิดแล้ว และหัวใจก็เจ็บปวดพร้อมจะระเบิดไปด้วย เขารู้สึกเจ็บลึกๆ ที่หน้าอก
“เสด็จพ่อเพคะ คนมีความสามารถหาง่าย แต่คนซื่อสัตย์นั้นหายากนะเพคะ ถ้าหากว่าคนมีคุณงามความดีถูกกำจัดแบบไม่มีความผิด ก็อาจจะเป็นการตัดแขนขาของคนที่ทำประโยชน์ให้กับราชสำนักไม่ใช่หรือเพคะ?” หยวนชิงหลิงเขกศีรษะลงพื้น พร้อมกับพูดขึ้นอย่างจริงใจ สีหน้าที่ดูโศกเศร้าเมื่อครู่ก็ได้หายไปแล้ว ตอนนี้นางคุกเข่าด้วยแววตาที่นิ่งสนิท
ความโมโหของฮ่องเต้หมิงหยวนเมื่อครู่นั้นก็ถูกข่มไว้ทันที แล้วมองหน้านางครั้งหนึ่ง “ลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเอง”
หยวนชิงหลิงไม่ยอมลุก พร้อมกับเงยหน้ามองเขา “เสด็จพ่อ พระองค์เป็นพระราชาผู้ปราดเปรื่องในใจหม่อมฉัน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นด้วยเสียงไม่พอใจ: “ที่แท้ถ้าข้ากำจัดหยวนเจ๋ ข้าก็ไม่ใช่ผู้ปราดเปรื่องหรือ? ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ!”
หยวนชิงหลิงเห็นเขาดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ จึงพูดขึ้น : “เสด็จพ่อคงไม่คิดจะกำจัดหยวนเจ๋จริงๆ ถึงตอนนี้จะกำจัด วันหลังก็คงเรียกมาใช้งานเหมือนเดิม หม่อมฉันไม่ได้กังวลแทนหยวนเจ๋ หม่อมฉันเพียงแค่กังวลว่า คนที่มีความผิดติดตัวนั้น ในใจต้องรู้สึกไม่สบายใจ และเอาแต่คิดเรื่องนั้นตลอด ถ้าหากยังคงทำความผิดต่อไปเรื่อย เมื่อถึงเวลาเกรงว่าอาจจะไม่ใช่แค่ทำร้ายประชาชน แต่อาจจะลุกลามมาถึงความเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อราชสำนักและพระองค์ด้วย คนผู้นั้นไม่ใช่ทำผิดครั้งแรก ถ้าหากว่าเสด็จพ่อหวังดีต่อพระชายาอ๋องฉีจริง ก็ไม่ควรปล่อยนางไปเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนสบถเสียงออกมาทันที: “เจ้าช่างไม่กลัวว่าจะทำร้ายความรู้สึกของน้องเขยเลยนะ”
“พวกเราไม่เคยมีความรู้สึกต่อกัน” หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างไร้เยื่อใย
ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงพูดขึ้นเสียงแข็ง : “แล้วเจ้าไม่คิดว่าคนอื่นจะว่าเจ้าอิจฉานางหรือ? หรืออาจจะคิดว่าเจ้าหวังของบางอย่าง?”
หยวนชิงหลิงแสยะยิ้มออกมา “ไม่กลัว ต้องมีสักคนที่มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดเสียงแข็งอีกครั้ง: “เจ้าไม่กลัวว่าตระกูลฉู่จะแก้แค้นคืนหรือ?”
หยวนชิงหลิงหุบยิ้ม และพูดเสียงสั่น: “กลัว!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นท่าทางของนางแบบนั้น จึงพูดขึ้นด้วยความพอใจ: “หยิบเอาไม้ปราบของเจ้า และออกไปได้แล้ว!”