บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1769 ออกเดินทางไปเมืองโร่ตู
จิ้งเหอรู้ดีว่าการตัดสินใจทั้งหมดของตนในตอนนี้มิใช่ความคิดชั่ววูบ
หลังจากเป็นแม่คน ก็น้อยนักที่จะคิดถึงความรู้สึกและลำบากของตน และความคิดส่วนมากก็อยู่กับเด็กๆ
นางพาเด็กๆ กลับมา ไม่ใช่แค่ให้เขากินอิ่มนอนอุ่น แต่หวังจะให้ครอบครัวที่แท้จริงกับพวกเขา
โดยเฉพาะหลังจากมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเด็กแล้ว นางยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาคู่ควรมีทุกสิ่งนี้ และควรมีทั้งหมดนี้ด้วย ทั้งหมดนี้รวมไปถึงบิดาและที่พึ่งพิง
นางไม่สาวแล้ว เส้นทางแห่งชีวิตก็เดินมาไกลแล้ว แต่ชีวิตของเด็กๆ เพิ่งเริ่ม บางทีต่อไปพวกเขาอาจได้พบกับความล้มเหลวหรือพบกับอุปสรรค ความล้มเหลวอุปสรรคบางอย่างนางอาจช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ได้ และนางต้องใช้ความพยายามทั้งหมดไปช่วยพวกเขาแน่
แต่นางไม่มั่นใจว่าจะอยู่กับพวกเขาได้อีกนานเท่าไร
นางขึ้นอายุแล้วจริงๆ และสุขภาพนางก็ไม่ค่อยดี
หากนางเป็นอะไรจากไปก่อน เด็กที่เหลือกลุ่มนี้จะไม่มีที่พึ่งพิง เพราะเดิมพวกเขาก็เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติคนอื่นดูแลช่วยเหลือ
อ๋องเว่ยก็รู้ดีว่าใจนางคิดอะไร
ขณะที่ขบวนไปเมืองชายแดนกำลังหยุดพักระหว่างทาง หรงเยว่ก็ถามหยวนชิงหลิง “นี่ถือว่าจิ้งเหอคืนดีกับพี่สามแล้วหรือยัง?”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ข้าคิดว่าใช่นะ”
“เยี่ยมเลย” หรงเยว่เอ่ย
หยู่เหวินเห้ามายื่นอาหารให้หยวนชิงหลิง เอ่ย “กำลังพูดเรื่องพี่สามอยู่หรือ?”
“พูดไปเรื่อยนิดหน่อย” หยวนชิงหลิงรับมาแล้วยิ้มเอ่ย
หยู่เหวินเห้าเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างจริงจัง “ที่จริงการเผชิญกับชีวิตเพียงลำพังน่ากลัวนัก หากข้างกายมีใครสักคน เช่นนั้นก็มีบ้าน อย่างน้อยจิตวิญญาณก็มีที่ให้พักและพึ่งพิง”
หยวนชิงหลิงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ความคิดนี่ยังไม่ต้องสนใจว่าเป็นการสะท้อนใจของเขาเองหรือไม่ แต่คำพูดนี้ต้องลักมาจากบทความไหนในยุคปัจจุบันแน่
แต่สวีอีกลับตะลึง “ฝ่าบาท ตอนนี้จะยิ่งล้ำลึกไปใหญ่แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“พยายามเข้าเถอะ สวีอี เจ้าก็เข้าใจชีวิตมากขึ้นแล้ว” หยู่เหวินเห้าตบบ่าเขา
สวีอียักไหล่ “กระหม่อมไม่จำเป็นต้องรู้มากขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ ชาตินี้กระหม่อมก็ถือว่าใช้ได้ มีแต่คนที่ผ่านความยากลำบากมาเท่านั้นจึงจะสะท้อนใจอยู่เนืองๆ”
ครั้นคำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็มองเขาอย่างประหลาดใจ เจ้านี่ถึงกับเอ่ยสัจธรรมแห่งมนุษย์ได้ด้วย แล้วยังไม่อาจโต้แย้งเขาได้อีก น่าโมโหชะมัด
เมื่อพักครู่หนึ่งแล้วก็ออกเดินทางไปเมืองโร่ตูต่อ
ทีแรกเมืองโร่ตูเป็นสถานที่สุดท้าย แต่เจ้าห้าคิดถึงลูกสาว ทุกคนจึงเปลี่ยนแผนการเดินทาง ไปหาเจ๋อหลานที่เมืองโร่ตูก่อน
หัวเมืองที่กำลังพัฒนา เปลี่ยนหน้าตาไปทุกปีจริงๆ เส้นทางกว้างขวางขึ้นมาก หมู่บ้านระหว่างทางก็สร้างบ้านใหม่ขึ้นเยอะ ผู้คนที่พบบนท้องถนนแลดูมีชีวิตชีวา แม้ใบหน้าจะอ่อนล้าอยู่บ้าง แต่ในตายังเห็นความสดชื่นไม่เสื่อมคลาย
นี่เป็นท่าทีมนุษย์ที่หาไม่ได้ในกลียุค แต่จะปรากฏให้เห็นในยุคศิวิไลซ์ รวมไปถึงสมัยก่อนที่เมืองโร่ตูแผ่นดินไหว หยวนชิงหลิงมาที่นี่ สิ่งที่ตามองเห็นนั้นเป็นความโอดครวญและสิ้นหวัง กระทั่งมีความแค้นเป็นอริกับราชสำนัก แม้นจะไม่เห็นแววศัตรู แต่ก็เป็นแค่ความว่างเปล่า ไม่มีความหวังแห่งชีวิตสักนิด
แน่นอน ตอนนั้นเป็นเพราะแผ่นดินไหว แต่หากประชาชนเคยได้รับความสำคัญจากราชสำนักเป่ยโม่ เช่นนั้นก็จะไม่สิ้นหวังขนาดนี้เด็ดขาด เพราะพวกเขาจะมีความมั่นใจ แม้จะได้รับกับภัยพิบัติร้ายแรงขนาดไหน บ้านเมืองจะต้องอยู่เคียงข้างพวกเขา ไม่ทอดทิ้งพวกเขาแน่
หยวนชิงหลิงกระซิบกับหยู่เหวินเห้า “ที่นี่แตกต่างจากตอนแรกราวฟ้ากับดิน ลูกสาวเจ้ามีความดีความชอบใหญ่หลวง”
ทว่าครั้งนี้หยู่เหวินเห้ากลับไม่ยิ้มย่องเพราะความสามารถของบุตรี เขาเอ่ย “นางเป็นเจ้าหญิง ได้รับการเทิดทูนจากประชาชนก็ควรให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดี นี่เป็นหน้าที่ของนาง มิควรภูมิใจ”
ในใจเจ้าห้าย่อมดีใจอยู่แล้ว แต่แผ่นดินแลอาณาประชาราษฎร์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในใจเขา
นี่เป็นความรับผิดชอบของคนในตระกูลเจ้าแผ่นดิน
เจ๋อหลานรู้นานแล้วว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่จะมา แต่ไม่ส่งคนไปต้อนรับนอกเมือง นางขี่ม้าไปด้วยตนเอง ไม่ได้บอกคนอื่น