บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1791 เมืองโร่ตูที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1791 เมืองโร่ตูที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน
ตั้งแต่หยู่เหวินเห้าสองสามีภรรยาแอบกลับไปยังยุคปัจจุบัน เมืองโร่ตูก็ครึกครื้นขึ้นมา
หมาป่าข้าวเหนียวเพิ่งดื่มเสร็จแล้วออกเดินทาง ขบวนพ่อค้าของทังหยวนก็มาอีก ต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ขบวนพ่อค้าเพิ่งจากไป ขันทีในวังของซาลาเปาก็มาอีก
ของเล่นสุดตระการตาและของขบเคี้ยวมากมายวางเต็มห้องโถงจวนเจ้าเมือง ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอามาจากไหนมากมาย คิดแต่จะเอามาให้น้องสาว
แม่นางโจวพาคนเอามาส่งให้ในลานเจ๋อหลานช่วยนับ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ยังว่าอยากไปดูความสนุก ข้ารู้สึกว่าในจวนของเราวันนี้ครึกครื้นกว่าเมืองเจียงเป่ยอย่างมาก”
เจ๋อหลานเปิดประตูออกมาพอดี ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็พูดขึ้นว่า “เมืองเจียงเป่ยเป็นอย่างไรหรือ?”
“นายตื่นแล้วหรือ? อาหารเช้าเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว” เห็นเจ๋อหลานตื่นขึ้นมา แม่นางโจวปัดฝุ่นบนบ่า ค่อยเดินหน้าไปยิ้มพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “วันนี้มีคนยกขบวนไปยังเมืองเจียงเป่ย เพื่อสู่ขอจวิ้นจู่น้อยอานจือ”
เจ๋อหลานอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณชายตระกูลไหนหรือ หลังจากเจอท่านลุงสี่แล้ว ยังครบสามสิบสองไหม?”
คิดถึงท่านลุงสี่ที่หวงลูกสาวขนาดนั้น ไม่ทุบตีจนพิการถือว่าดีแล้ว
สำหรับคนเป็นพ่อที่อคติกับลูกเขยด้วยสัญชาตญาณแบบนี้ เจ๋อหลานรู้ซึ้งเป็นที่สุด
“น่าจะยังครบสามสิบสองอยู่มั่ง ยังไงจวิ้นจู่น้อยก็ถึงวัยแต่งงานมาสองปีแล้ว ช้าเร็วยังไงก็ต้องแต่งงาน” แม่นางโจวหัวเราะจนปวดหัว พูดเสร็จสักพักแล้วก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เรื่องนี้ได้ยินคนพูดตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่รู้ว่าจริงเท็จ ยังไงก็เป็นข่าวลือกันไปทั่วแล้ว”
“อืม ก็ถูก” เจ๋อหลานพยักหัว แต่ส่วนตัวแล้วนางยังคงหวังอยากให้พี่อานจือ ไม่ต้องแต่งงานเร็วขนาดนี้
หมั้นกันไว้ก่อนได้ รออีกหลายปีแล้วค่อยแต่ง
แม่เคยบอกไว้ ผู้หญิงจะแต่งควรที่จะรอให้เราเติบโตเต็มที่ถึงจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายสุขภาพ
พวกพี่ชายก็บอกว่า อยากให้นางรอจนถึงอายุ 30 แล้วค่อยคิดถึงเรื่องแต่งงาน
แม่นางโจว เห็นนางยืนเหม่อลอยอยู่ในลาน จึงถามขึ้นว่า “นาย เจ้ากับจวิ้นจู่อานจือสนิทสนมกัน ไม่ไปช่วยนางดูหน่อยหรือ? การแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต จะขอไปทีไม่ได้ จะต้องรู้อุปนิสัยใจคอของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเสียก่อน จะต้องเป็นการยินยอมและชอบพอกันทั้งสองฝ่าย
ในขณะที่พูด นางแอบหันไปมองดูหูหมิงที่กำลังนำทางขนของขึ้นลงอยู่หลายครั้ง ใบหน้าแสดงถึงความสุข
ได้ยินสิ่งที่นางพูด หูหมิงก็พูดเสริมขึ้นว่า “ใช่ นายน้อย อนาคตท่านเลือกเขยจะต้องพิจารณาดูให้ดี แต่สามารถมั่นใจได้เลยก็คือ ฮ่องเต้เราฉลาดหลักแหลมขนาดนั้น ถ้าพระองค์บอกว่าไม่เหมาะสมก็จะต้องไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน”
เจ๋อหลานฟังอยู่อย่างเงียบ แล้วก็หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ ข้าทานข้าวเสร็จแล้ว จะพาหมิงหยู่ไปช่วยพี่อานจือดู”
วันนี้เมืองเจียงเป่ยครึกครื้นอย่างมากจริงๆ
คนที่มาสู่ขอคือคุณชายใหญ่ของอัครมหาเสนาบดีหนิงแคว้นจิน ชื่อหงเจา อายุสิบเก้า เป็นจอหงวนของแคว้นจินในปีนี้
รูปร่างหน้าตางามดั่งหยก มีความสามารถอย่างน่าทึ่ง
คนระดับนี้มาสู่ขอ เดือดกันไปทั้งเมือง
แต่คนระดับนี้ ทำไมถึงมายังเมืองเจียงเป่ย มาสู่ขอถึงจวนอ๋องอาน?
นอกจากจวิ้นจู่อานจือ ไปเมืองหลวงกับท่านอ๋องพระชายาแล้ว ก็ไม่เคยออกจากเมืองเจียงเป่ย
หรือจะเป็นการแต่งงานที่เกี่ยวข้องกับการเมือง?
ผู้คนต่างพากันซุบซิบนินทา อย่างสนุกสนาน
ในใจพระชายาอาน มีทั้งสุขและทุกข์ เพียงชั่วพริบตาเดียว ลูกสาวก็ถึงวัยที่จะต้องแต่งงานแล้ว ยังไม่อยากให้นางแต่งงานออกไปเลย แต่ก็รู้ว่าปลายทางของผู้หญิงคือการหาสามีที่ดี
ลูกชายอัครมหาเสนาบดีคนนี้ ท่าทีไม่เลว พูดจาฉะฉาน นิสัยดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าอุปนิสัยเป็นอย่างไร?
ดูอานจือเองก่อน หากชอบพอ ค่อยไปสืบอุปนิสัยด้วยตนเอง
อ๋องอานกระทืบเท้าร้อนใจอยู่ในห้อง เขาคิดว่า เจ้าคนนี้จะต้องคิดไม่ดีแน่
เสียดายที่เจ้าสามติดตามจิ้งเหอกลับไปเมืองหลวงแล้ว ไม่เช่นนั้น เขายังมีพี่ชายอีกคนที่ยืนอยู่กับเขาในแนวร่วมเดียวกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด อ๋องอานยกฝ่ามือตบโต๊ะ สั่นสะเทือนจนชุดชงชากระทบกันเสียงดัง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย”