บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1792 ลูกหลานก็มีบุญบารมีของลูกหลาน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1792 ลูกหลานก็มีบุญบารมีของลูกหลาน
พระชายาอานเพิ่งไปเก็บรายการอาหารกลางวันของแขกที่สวนหลังบ้านเสร็จ เข้าห้องมาก็เห็นเขาบ้าคลั่งอยู่ที่นี่
นางไล่คนออกไป เปิดม่านเอง แล้วค่อยๆเดินเข้ามานั่งด้านข้างเขา พร้อมถอนหายใจ
อ๋องอานโกรธก็ส่วนโกรธ ยังไงก็ไม่กล้าโวยวายต่อหน้าภรรยา โดยเฉพาะในขณะที่ภรรยาถอนหายใจ
ก่อนหน้านี้เพราะเจ้าสามถูกลอบทำร้าย จู่ๆนางก็มีกลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมา อยู่เคียงข้างเขาอยู่ตลอดอย่างไม่หยุดพัก รอยยิ้มก็หายไปไม่น้อย เดิมหางตาที่ราบเรียบก็เริ่มมีริ้วรอย แลดูหดหู่ลงมาก
เขาแทบไม่ต้องให้พระชายาอานพูดอะไร ก็อ่อนข้อลงแล้ว จับมือภรรยาที่รัก พร้อมถามขึ้นว่า “เจ้าจะต้องให้อานจือแต่งงานออกไปจริงๆหรือ?”
พระชายาอานมองดูเขา ดวงตาอ่อนโยนดั่งน้ำ แต่น้ำเสียงเศร้า กระทั่งแฝงไปด้วยความอ่อนแรง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงแค่คิดว่า เราที่เป็นพ่อแม่ สามารถอยู่กับลูกไปได้ถึงเมื่อไหร่?”
“เจ้าจะกังวลเรื่องนี้ทำไม ลูกหลานก็มีบุญบารมีของลูกหลาน พวกเราก็เคยผ่านช่วงวัยหนุ่มมาก่อนไม่ใช่หรือ?” ฟังพระชายาอานพูดเช่นนี้ ในใจอ๋องอานหนักอึ้ง และก็เกิดความรู้สึกเสียใจ
ถึงแม้จะปากแข็ง แต่ในหัวสมองก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพผมขาวของเขากับพระชายาอาน เดินไม่ไหวแล้ว อีกร้อยกว่าปี อานจือลูกรักของเขา จะต้องอยู่บนโลกนี้คนเดียวอย่างเดียวดาย จะทำอย่างไร
“ใช่ ลูกหลานก็มีบุญบารมีของลูกหลาน” พระชายาอานก็ถอนหายใจอีกครั้ง
อ๋องอานหัวใจเต้นรัว รู้สึกเป็นรางไม่ดี รีบเงยหัวขึ้นมา และแล้ว นางจับมือของเขาไว้ ดวงตาเปล่งประกาย พร้อมพูดขึ้นว่า “ดังนั้นเรื่องนี้ ให้ลูกตัดสินใจเองดีไหม?”
คำพูดโน้มน้าวของพระชายาอาน ใช้ได้กับอ๋องอานมาตลอด แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสุดที่รัก เขายังคงพูดขึ้นอย่างดื้อดึงว่า “แต่ แต่อานจือยังเด็ก นางแยกแยะออกเสียที่ไหนว่าใครเป็นคนดีหรือคนร้าย”
“จะให้นางหลบอยู่ภายใต้อ้อมแขนของพวกเราไปตลอดชีวิตหรือ แบบนั้นจะทำให้นางอ่อนแอแค่ไหน ถ้าพ่อเป็นเสือ ลูกต้องไม่ใช่ลูกหมา ดูว่าเจ้าจะยอมปล่อยนางไปดูด้วยตนเองไหม” พระชายาอานเงียบไปสักพัก แล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นว่า “แต่ไม่ว่ายังไง ยังมีพวกเราอยู่ข้างหลังนาง ไม่ใช่หรือ?”
อ๋องอานหวั่นไหว โอบกอดพระชายาอานแนบอก พร้อมพูดขึ้นว่า “เหยียนเอ๋อ เจ้าพูดถูก”
ในที่สุดพระชายาอานก็ถอนหายใจโล่งอก กำลังคิดอยากที่จะชูมือแสดงถึงความสำเร็จให้กับทางด้านนอกประตู
กลับคิดไม่ถึงว่า อ๋องอานที่โอบกอดนางไว้ จู่ๆก็ปล่อยนาง ลุกขึ้นยืน พร้อมพูดขึ้นว่า “แค่แคว้นจินนี้ไกลเกินไป ข้าต้องไปปฏิเสธ จากนั้นก็หาดูคนที่ดีในละแวกใกล้เคียงนี้ให้อานจือเลือก”
“เอ่อ…” รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาอานแข็งทื่อขึ้นมา รีบคว้าจับอ๋องอานที่กำลังเตรียมจะออกไปพร้อมพูดขึ้นว่า “แต่ละแวกใกล้เคียงนี้อาจจะไม่เป็นที่พอใจของลูกสาวเจ้า อีกอย่างลูกชายของอัครมหาเสนาบดีนี้ ดูแล้วก็น้าตาดี พูดจาไพเราะ ยังเป็นจอหงวนของแคว้นจิน เพียงแค่ไม่รู้ว่าอุปนิสัยเป็นยังไง รับไว้พิจารณาก่อนดีไหม?”
“แต่เขาอยู่แคว้นจิน ไกลเกินไป”
“ไกลเท่าพวกเราจากเมืองหลวงมาไหม?”
“แต่….”
“ลูกหลานก็มีบุญบารมีของลูกหลาน”
“แต่ข้าอยากให้ลูกหลานมีความสุขอยู่ตรงหน้าของข้า”
พระชายาอานไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ดึงแขนของเขาไว้ พร้อมพยายามพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไอหยา ท่านอ๋อง เจ้าให้ลูกสาวของเจ้าตัดสินใจเองเถอะ นางโตเป็นสาวแล้ว”
“แต่….” อ๋องอานลังเลอย่างมาก เขาไม่อยากที่จะยอมถอย แต่หากไม่ยอมถอย พระชายาอานก็ถึงขั้นใช้กลอุบายของการทำตัวเป็นลูกสาวตัวน้อยแล้ว
“ข้าไม่สน ยังไงคนอื่นก็อุตส่าห์เดินทางมาจากแดนไกล เจ้าไม่ยอมก็ไล่คนอื่นออกไปนอกประตู แต่อย่าลืมว่า นั่นคือลูกชายของอัครมหาเสนาบดีแคว้นจิน ไม่ว่าจะปฏิเสธหรือไม่ ล้วนต้องระวังถึงความสัมพันธ์ที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งสองประเทศ” พระชายาอานไม่ได้ออดอ้อน พูดขึ้นด้วยเสียงดัง แล้วก็ปล่อยมือนั่งลงไม่สนใจแล้ว
“ได้ได้ได้ ข้าเชื่อฟังเจ้าก็ได้ ไม่ต้องโกรธแล้ว”
“เชื่อฟังลูกสาวของเจ้า”
“ถูกถูกถูก ฮูหยินพูดถูก”
……
ได้ยินเสียงข้างในยิ่งอยู่ก็ยิ่งเบา เจ๋อหลานกับอานจือมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ย่องเท้าเบากลับไปยังห้องของอานจือ
ทั้งสองคนเพิ่งกลับมานั่งลง เจ๋อหลานก็อดทนรอไม่ไหวถามขึ้นว่า “พี่สาว เจ้าชอบหนิงจอหงวนคนนั้นไหม?”
นางเพิ่งมาถึง ก็ถูกอานจือลากพาไปแอบฟัง ตอนนี้แปลกใจกับคนที่ชื่อหนิงหงเจา ที่ท่านป้าสี่พูดชมไม่ขาดคำอย่างมาก