บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1802 ท่านฉู่หน้าแตก
อาการของยายชิวยังอยู่ภายในการควบคุม แต่ตามที่หยวนชิงหลิงพูดไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อไหร่ที่โรคนี้มันกลับมากำเริบอีก ก็คงต้องขึ้นอยู่กับว่า เวลาที่เหลือจะยาวหรือสั้นเท่านั้นแล้ว
ดังนั้น หลังจากดื่มเหล้าเสร็จ พระชายาก็หยิบยาเข้าไป มอบให้ยายชิวกิน
ยานี้นางไม่ได้ให้มากมายนัก แค่หั่นเป็นผงเล็ก ๆ แล้วเอาไปผสมน้ำร้อน จากนั้นค่อยเอาให้นางกิน
หลังจากกินยาเข้าไปไม่นาน ยายชิวก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า “ยานี้ได้ผลดีเหลือเกิน ข้ารู้สึกว่าทั้งขาทั้งเท้าขยับได้คล่องแคล่วขึ้นมาก อึดใจเดียวก็รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเลย พรุ่งนี้ข้าตื่นขึ้นมาก็สามารถทำอาหารเช้าให้กับทุกคนได้แล้วล่ะ”
“เจ้าไม่ต้องทรมานตัวเองขนาดนั้นหรอก ดูแลตัวเองดี ๆ ทำอาหารมาตลอดชีวิตแล้วยังไม่พออีกรึ? ถึงเวลาที่พวกเขาต้องดูแลปรนนิบัติเจ้าบ้างแล้ว” พระชายาพูดอย่างโกรธเคือง
“ได้ทำอาหารให้พวกเขากินไปตลอดชีวิตก็ดีนะ พวกเราอยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตแล้ว ข้าไม่ได้แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้แต่งเหมือนกัน อย่างไรก็ถือว่าเป็นพี่ชายน้องสาวที่เกาะอยู่บนคานทองมาด้วยกัน ” ยายชิวพูดพลางหัวเราะเริงร่า
“อื้ม ได้อยู่อย่างนี้เรื่อยไปตราบจนชั่วชีวิตก็ดีนะ” พระชายาก็พูดขึ้นมาเช่นกัน
หัวข้อนี้ไม่ควรลากยาวต่อไปอีก หากพูดไปย่อมเกิดความรู้สึกทรมานใจ เพราะการพูดถึงมันมีแต่จะเกิดความคิดไปถึงช่วงเวลาอันยาวนาน นางไม่กล้าคิดถึงเรื่องอนาคตหลังจากนี้ที่สุดแล้ว
“รอให้ฮองเฮากลับมา ค่อยตรวจร่างกายของเจ้าให้ละเอียดอีกครั้งเถอะ เจ้าต้องรักษาสุขภาพให้มาก อยู่เคียงข้างข้าตลอดไปล่ะ” พระชายาพูด
ยายชิวพูดเบา ๆ ว่า”ข้าจะพยายามเจ้าค่ะ”
คืนนี้ที่จวนอ๋องซู่เสียงดังอึกทึกคึกโครมมาก แต่ตอนนี้กลับเงียบสนิท
กลางดึกที่เงียบสงัด สองคนสามีภรรยายังไม่นอนหลับ พวกเขาไปนั่งบนหลังคาของหอจัยซิง มองดูดวงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้า
“จู่ ๆ ก็อยากเขียนกลอนสักบท” พระชายาเอนกายลงข้าง ๆ เขาแล้วพูดขึ้นมา
“หือ?” อ๋องชินเฟิงอันเอียงหน้าไปมองนาง เกรงว่าจู่ ๆ อันธพาลจะกลายเป็นคนรู้หนังสือไปเสียแล้ว
พระชายาพยายามเค้นความรู้จนหมดไส้หมดพุง จนสุดท้ายก็ยอมแพ้ “ช่างเถอะ เปลี่ยนเป็นอธิษฐาน
อะไรสักอย่างแทนแล้วกัน อธิษฐานว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
ตุ๊บ! ร่างขององครักษ์เงาดำในสภาพเมาโงนเงน ร่วงตกลงมาจากต้นไม้ รู้อยู่แล้วเชียวว่าจะไปคาดหวังอะไรจากนางได้กันล่ะ? ยิ่งเรื่องเขียนบทกลอนด้วยน่ะรึ?
ยุคปัจจุบัน
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงอยู่ในยุคปัจจุบัน แล้วก็นับได้ว่ากำลังเข้าใจอย่างลึกซื้งถึงความเคร่งเครียดของครอบครัวที่มีลูกซึ่งกำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แม้ว่าลูกทั้งสองคนจะโทรกลับมาบอกว่า การสอบเอนทรานซ์ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากังวล พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ แถมไม่รู้สึกว่ามีแรงกดดันอะไรมากมายนัก แต่เพราะบรรยากาศที่กังวลเคร่งเครียดในกลุ่มผู้ปกครองทั้งหลาย ก็ยังส่งผลให้พวกเขารู้สึกเครียดไปด้วยจนได้
บวกกับยังมีการประชุมผู้ปกครองอีกครั้งหลังจากกลับไปด้วย
การประชุมผู้ปกครองครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับการให้กำลังใจหรือสนับสนุนการเรียนรู้ใด ๆ แต่เพื่อให้ผู้ปกครองให้ความสนใจต่อสภาวะอารมณ์ของลูก ๆ อยู่เสมอ เพื่อช่วยปลอบประโลมใจให้เด็กๆรู้จักผ่อนคลายลงบ้างภายใต้ความตึงเครียด อยากกินอะไร อยากซื้ออะไร ควรให้พวกเขาได้ทำตามใจเสียหน่อย
ก็เหมือนความรู้สึกประมาณว่า นักรบก่อนจะลงสู่สนามรบ อยากกินอะไร อยากซื้ออะไร อยากเล่นอะไร ก็จงทำให้สมใจอยากก่อน
โสวฝู่ฉู่เองก็เครียดมากเช่นกัน
เพราะในชีวิตนี้ของเขา เคยมีประสบการณ์การเข้าสอบในสนามใหญ่สองครั้ง
เป็นการสอบที่สำคัญมากสองสนาม เพราะตอนนั้นเขามีภาระที่ต้องแบกรับมากมาย เขาจึงไม่มีหนทางปล่อยให้ตัวเองผ่อนคลายลงได้เลยแม้แต่น้อย จนตอนนี้เขาอายุมากแล้ว ก็ยังไม่อาจลืมความรู้สึกในเวลานั้นแม้กระทั่งแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงได้ ช่างเป็นอะไรที่หนักมากจริง ๆ เหมือนกับถูกภูเขาไท่ซานทั้งลูกกดทับอยู่บนร่าง หนักหนาจนแทบหายใจไม่ออก
ดังนั้น เมื่อกลับมาจากวันหยุดสุดสัปดาห์ กิจกรรมแรกที่โสวฝู่วางแผนให้ นั่นก็คือ กิจกรรมการด่าคนให้สะใจ
จากประสบการณ์ของเขาเอง เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ากดดันมาก ๆ พอได้ด่าใครสักคนจะส่งผลให้ผ่อนคลายได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
ด่าคนน่ะด่าได้ แต่จะด่าใครนี่สิคือปัญหา?
ที่นี่มีแต่คนในครอบครัวที่เป็นที่รักทั้งนั้น จะด่าใครก็ไม่ได้ซักคน
แต่โสวฝู่ก็คือโสวฝู่จริง ๆ เขาคิดวิธีการขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่า จะพาทุกคนไปยืนเฝ้าที่ถนนเป็นกรณีพิเศษ เมื่อเห็นใครขับรถฝ่าไฟแดง ให้รีบหยุดไว้แล้วส่งต่อให้เด็ก ๆ ได้ด่าสักยก
เด็ก ๆ ล้วนมีความสามารถและฉลาดหลักแหลม แต่จะให้พวกเขาด่าคน เรื่องนี้ยังไม่เคยลองทำมาก่อนเลย
ผลสุดท้าย บรรดาคนที่ฝ่าไฟแดงต่างถูกเซียวเหยากงจับตัวมา ได้แต่พากันตื่นตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พวกเขาเห็นเด็กที่กึ่ง ๆ โตแล้วสองคนมองดูพวกเขาด้วยท่าทางแปลกประหลาด ในใจยิ่งตื่นตระหนก ด้านนึงก็พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของเซียวเหยากง “ช่วยด้วย! โจรลักพาตัว”
มีคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาในสภาพที่ยังตัวสั่นงันงก “ฮัลโล 110 เหรอครับ….”
เบอร์110 เป็นอะไรที่คุ้นเคยมาก ท่านฉู่อียงหน้าครุ่นคิดอยู่หนึ่ง จากนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี “แย่แล้ว เขาแจ้งความกับกรมปกครองแล้ว พวกเราที่นี่ไม่มีใครที่รู้จักอยู่ในกรม รีบไปเร็วเข้า”
สามยักษ์ใหญ่รีบเผ่นอย่างไว ทิ้งองค์ชายน้อยทั้งสองเอาไว้ให้จ้องมองหน้ากันไปมา ให้รีบไปเหรอ? ไม่ดีมั้ง? คนเค้าโทรเรียกตำรวจแล้วนะ แต่ถ้าไม่ไป เรื่องนี้อาจถึงโรงเรียนได้เลยทีเดียว
สารานุกรมเดินได้อย่างท่านฉู่ ได้ประสบพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า “หน้าแตกยับเยิน” เป็นครั้งแรกในชีวิต เป็นการแตกแบบหมอไม่รับเย็บ อีกทั้งหลังจากทำแตกเสร็จ ก็ยังน่าสงสัยว่าจะหลบหนีไปไม่กลับมารับผิดชอบอีกด้วย