บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1805 อย่าทำเขาถึงตายล่ะ
หลังกลับมาจากการออกไปครั้งล่าสุด สองศรีพี่น้องเจ๋อหลานกับอานจือก็วางแผนครั้งใหม่อย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันที่แดดจ้าฟ้าสดใส สองสาวแอบพาเหลิ่งหมิงหยู่ออกบ้านไปแบบเงียบๆ
แต่เมื่อพวกเจ๋อหลานมาถึงศาลาใจกลางทะเลสาบ พวกเขากลับต้องเก้อจนได้
เดิมทีห้องส่วนตัวที่หนิงหงเจาควรจะนั่ง เวลานี้มีคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่
“น้องสาว เขาไปแล้วหรือ?” อานจือหันไปมองเจ๋อหลานแล้วถามอย่างสงสัย
เจ๋อหลานเงยหน้าขึ้น เจ้าฟีนิกซ์น้อยที่บินโฉบอยู่บนก้อนเมฆพลันพุ่งลงมา ร่อนลงบนไหล่ของนาง จากนั้นก็ใช้หัวเล็ก ๆ ซุกไซร้เข้าที่แก้มของนาง
“ก่อนหน้านี้ครึ่งก้านธูป เขาไปกับชายที่สวมชุดคลุมสีเทาอมน้ำตาลคนหนึ่งแล้วล่ะ”
อานจือเกิดความรู้สึกผิดหวังขึ้นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก “ไม่แน่ว่าเขาอาจมีธุระด่วนขึ้นมาพอดี
เช่นนั้น พวกเราก็กลับจวนกันก่อนเถอะ”
“หรือไม่เราก็ไปเดินเที่ยวกันดีกว่าไหม? กว่าจะออกมาได้สักครั้งไม่ใช่ง่าย ๆ พวกเราไปเดินดูของที่ถนนการค้าของเมืองเจียงเป่ยกันดีกว่า ข้ายังตัดสินใจไม่ได้เลยว่าจะให้ของขวัญอะไรกับพวกพี่ชายดี” เจ๋อหลานรีบพูดขึ้นทันที
ดวงตาของเหลิ่งหมิงหยู่ก็วาววับขึ้นมาด้วยเช่นกัน กอดกระบี่พลางยืนขึ้น “ก็ดีนะ”
ถ้าพูดถึงถนนการค้าของเมืองเจียงเป่ย มันยังเป็นแค่แบบจำลองการดำเนินงานที่เรียนรู้มาจากเมืองโร่ตู ก่อนหน้านี้แม่นางโจวกับหูหมิงเคยมาเดินดูบ้างแล้ว เล่าว่ามีพ่อค้าแม่ขายจำนวนมากจาก แคว้นต้าซิ่ง การแสดงของที่นี่ก็สนุกน่าสนใจมากจริง ๆ
เมื่ออานจือได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสนใจขึ้นมา ความผิดหวังในใจพลันมลายหายไปทันที “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
ฟีนิกซ์น้อยบินกลับขึ้นไปบนเมฆ ทั้งสามคนออกจากศาลากลางทะเลสาบด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก เดินไปยังถนนย่านการค้าทางตอนเหนือของเมือง
ขณะที่จะเดินออกจากปากถนน ก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่ง
“เป็นเจ้าเองรึ!” มู่โถวกอดขนมกุ้ยฮวาถุงใหญ่ไว้ในอ้อมแขน มือข้างหนึ่งถือขนมถังหูลู่เย็น ตรงดิ่งเข้ามาขวางหน้าเหลิ่งหมิงหยู่ด้วยท่าทางโกรธเคือง “เจ้ามาได้เหมาะนัก มาสู้กับข้าให้รู้กันไปเลย!”
เจ๋อหลานดึงอานจือไปยืนด้านข้าง ทั้งสองคนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหนิงหงเจา จึงอดถอนหายใจไม่ได้ ยังคิดอยู่ว่าจะบังเอิญชนใส่พอดีแล้วเชียว
เหลิ่งหมิงหยู่พูดอย่างเย็นชาว่า “หลีกไป”
มู่โถวก็ดื้อรั้นหัวแข็งเหมือนก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น ยืนเป็นไม้หลักไม้ตอขวางอยู่ข้างหน้าไม่ยอมหลีก “ไม่หลีก! เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ ถ้าเจ้าชนะ ขนมถังหูลู่พวกนี้ข้าจะให้เจ้าทั้งหมด แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าต้องขอโทษข้า!”
เหลิ่งหมิงหยู่ไม่แม้แต่จะปรายตามองขนมถังหูลู่เย็นแม้แต่น้อย แค่พูดอย่างเย็นชาต่อไปว่า “หลีกไป”
มู่โถวโกรธจัด หันไปมองเจ๋อหลานกับอานจือ
“พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกับเขาใช่หรือไม่? บอกให้เขามาสู้กับข้าสักตั้ง ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเจ้าไปจากที่นี่แน่”
เมื่อเห็นว่ามู่โถวพูดจาข่มขู่พี่สาวทั้งสอง ใบหน้าของเหลิ่งหมิงหยู่ก็ยิ่งเย็นชาขึ้น “หลีกไป!”
มู่โถวรู้ว่าเขาเหมือนจะแตะถูกจุดเดือดของอีกฝ่ายเข้าแล้ว ไม่เพียงไม่หลีก แต่กลับมีท่าทีตื่นเต้นยินดีขึ้นมาหลายส่วน “ข้าไม่หลีกเสียอย่าง ถ้าเจ้าไม่สู้กับข้า ข้าจะตามตอแยพวกนาง จนกว่าเจ้าจะสู้กับข้า!”
เหลิ่งหมิงหยู่ขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ใช่เด็กที่ชอบทะเลาะกับใคร เขายังต้องไปเดินเที่ยวถนนย่านการค้ากับพี่สาวอยู่นะ
เมื่อเห็นดังนี้ เจ๋อหลานก็เอ่ยถามขึ้นว่า “น้องชายผู้นี้ เจ้ามาดึงน้องชายของเราให้ไปสู้กับเจ้า เจ้าไม่กลัวผู้ใหญ่ที่บ้านจะโกรธเลยรึ?”
“คุณชายของบ้านเราไปพบฮูหยินน้อยในอนาคต ข้ามีเวลาสามชั่วยามในการจัดสรรอะไรก็ได้ให้กับตัวเอง ดังนั้น จงให้เขามาสู้กับข้าเสียแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าไป!” มู่โถวจ้องเหลิ่งหมิงหยู่ตาเขม็ง เหมือนจะสื่อความหมายว่า เขาคิดจะใช้อีกฝ่ายเป็นตัวฆ่าเวลาสามชั่วยามนี้แน่นอนแล้ว
ฮูหยินน้อยในอนาคต? เจ๋อหลานหันไปมองอานจือ คนยังยืนอยู่ที่นี่แท้ ๆ เช่นนั้นแล้วหนิงหงเจาไปพบใครกันล่ะ?
ใบหน้าของอานจือเต็มไปด้วยความสับสนตื่นตะลึง เป็นไปได้หรือไม่ว่าหนิงหงเจาจะไปที่จวนอ๋องอาน?
ไม่ถูก!
เจ๋อหลานขมวดคิ้ว ดึงอานจือแล้วออกวิ่งทันที ทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียวว่า “น้องชาย อย่าทำเขาถึงตายล่ะ”
“ได้”
มู่โถวไม่เข้าใจความหมายคำพูดประโยคนี้ของเจ๋อหลาน เดิมที เขาแค่ต้องการจะขวางทาง “ตัวประกัน” ทั้งสองก็เท่านั้น แต่ไม่ทันที่เขาจะได้เคลื่อนไหวอะไร เงาร่างของทั้งสองคนก็หายวับไปจากสายตาแล้ว
เขากำลังคิดจะไล่ตามไป ก็เห็นเหลิ่งหมิงหยู่มายืนขวางอยู่ข้างหน้าเขา พูดอย่างเฉยชาว่า “มีลูกเล่นอะไรก็งัดออกมาเถอะ”