บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1808 พี่เขยอะไรกัน
หนิงหงเจาดับเครื่องหอม ผลักเปิดหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นหอมประหลาดในเรือนนั้นออกไป
ในเวลานี้ เลี่ยวหงจวงร้องตะโกนจนคอแหบแห้งไปหมดแล้ว ร่างกายถูกกลิ่นหอมประหลาด
นั้นกระตุ้นเร้าเส้นประสาทจนตื่นตัว แต่ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ สร้างความทรมานให้นางอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น ตรงหน้าก็พลันมีแสงสว่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น
หนิงหงเจาใช้เหล็กดัดหน้าต่างที่เพิ่มมาตัวหนึ่ง ช่วยดัน ๆ ผ้าห่มที่คลุมอยู่บนหัวของนางลงมาให้เล็กน้อย จนพอจะทำให้นางมองเห็นได้แม้จะทุลักทุเลเต็มที
“คุณหนูหลี่ หรือว่าจะเรียกคุณหนูเลี่ยวดีล่ะ คุยกันสักหน่อยไหม?”
เลี่ยวหงจวงมองดูใบหน้าเย็นชาและหยิ่งผยอง พร้อมด้วยเสื้อผ้าเต็มยศไม่มีหลุดลุ่ยของเขา ดูตรงไหนก็ไม่เหมือนคนที่ติดกับดักแม้แต่น้อย ก็โกรธจนแทบอดรนทนไม่ไหว อยากฉีกทึ้งผ้าห่ม
ให้มันขาดกระจุยกระจายเป็นชิ้น ๆ “หนิงหงเจา เจ้าหลอกข้า!”
“ก็แค่ใครดีมาข้าก็ดีตอบเท่านั้นเอง” หนิงหงเจาพูดด้วยท่าทางสุภาพอย่างยิ่ง
เลี่ยวหงจวงคำราม “เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หนิงหงเจาพูดว่า “รออีกเดี๋ยวก็จะปล่อยแล้วล่ะ”
นางโกรธจนแทบควันออกหัว ฝืนกัดฟันทนจนนางเริ่มรู้สึกว่าอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายกายได้บ้างนิดหน่อย “นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หนิงหงเจาพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ก็แค่อยากจะถามว่าคุณหนูเลี่ยวเป็นคนถิ่นไหน? เฝ้าวางแผนเล่นงานข้าผู้แซ่หนิงครั้งแล้วครั้งเล่า มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ฤทธิ์ยาที่เล่นงานถึงสมองค่อย ๆ ผสมผสานกับความโกรธแค้น เลี่ยวหงจวงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้าให้ได้แล้ว พูดพลางหอบจนตัวโยน “ข้ามีใจให้เจ้า อยากแต่งให้เจ้า ถึงได้วางแผนตาม
ตอแยพัวพันเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้ารีบปล่อยข้าเถอะ ให้ข้าได้ดูแลปรนนิบัติเจ้า ดีไหม? นางเด็กผมเหลืองอายุแค่ไม่กี่สิบขวบ หยู่เหวินเมิ่งเหอนั่นไม่เหมาะกับเจ้าหรอก ไม่ใช่ว่านางมีพ่อที่เป็น
อ๋องพิการหรอกหรือ….”
ความเจ็บปวดจากส่วนท้องแล่นปราดขึ้นมาอย่างรุนแรง เสียงของเลี่ยวหงจวงพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน แต่ฤทธิ์ยาในร่างของนางแรงเกินไป จากเดิมเป็นเสียงร้องเพราะความเจ็บปวด แต่เมื่อมาถึงริมฝีปาก ก็กลับกลายเป็นเสียงร้องครวญครางแทน
ดวงตาของหนิงหงเจาหนักอึ้งจมดิ่ง พูดอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูเลี่ยว ถ้ายังอยากมีลิ้นไว้พูดอยู่ล่ะก็ โปรดระวังคำพูดและกริยาของตัวเองให้มากหน่อยล่ะ”
เลี่ยวหงจวงถูกไอสังหารในดวงตาของเขากดดันจนตกใจ กัดริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินคุณหนูเลี่ยวพูดถึงหมู่บ้านในหุบเขา ที่แท้คุณหนูเลี่ยวก็เป็นคนจากหมู่บ้านบนหุบเขาเองหรือนี่?
เขาลูกไหนล่ะ? คงไม่ใช่หมู่บ้านบนหุบเขาเหลยถิงแห่งเป่ยโม่หรอกนะ?” หนิงหงเจาเค้นถาม
แววตาของเลี่ยวหงจวงฉายแววตื่นตระหนกวูบหนึ่ง แต่ก็รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ใช่ ข้าเป็นคนแคว้นจิน มาทำการค้าขายที่เจียงเป่ย ไม่ได้รู้จักหมู่บ้านบนหุบเขาเหลยถิงที่เจ้าพูดถึงเลยแม้แต่น้อย”
หนิงหงเจายังคงถามต่อไป “ได้ยินมาว่าหมู่บ้านบนหุบเขาเหลยถิงล้วนมีแต่พวกอันธพาลเดนตาย กับพวกนอกกฎหมายทั้งสิ้น ขอแค่ให้เงิน ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนทำได้หมด ก่อนหน้านี้ พวกที่ลอบ
สังหารอ๋องเว่ยแห่งเป่ยถัง ก็คือพวกเจ้าล่ะสิ?”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร คุณชายหนิง ข้าทรมานเหลือเกิน เจ้าดูรูปร่างของข้าให้เต็มตาสิ ข้าไม่สวยหรอกหรือ? เจ้ารีบปล่อยข้า แล้วช่วยเอ็นดูข้าให้มาก ๆ เถอะนะ—อ๊า—อื๊อ” เลี่ยวหงจวงจัด
วางท่วงท่าให้ดูน่าสงสาร ส่งเสียงร้องครางออกมา พลางแสดงท่าทางที่คิดว่าดึงดูดสายตาผู้ชายได้มากที่สุดไปด้วย
หนิงหงเจาเห็นว่าใบหน้าของนางแดงก่ำ นัยน์ตาฉ่ำเยิ้มแดงเถือกไปทั้งดวง ราวกับว่ายาได้เข้ามาควบคุมความนึกคิดและเหตุผลของนางไปหมดแล้ว
เหล็กดัดหน้าต่างในมือของเขาถูกขว้างออกไป ประตูตู้เสื้อผ้าที่อยู่อีกด้านหนึ่งพลันเปิดออก ที่แท้ก็คือผู้ชายสองคนที่อุ้มหนิงหงเจาเข้ามาในห้อง พากันล้มออกมาจากในนั้น
ใบหน้าของพวกเขา ต่างเต็มไปด้วยอาการสุดจะฝืนทนต่อฤทธิ์ยาที่โจมตีสมองด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นพวกเขา สีหน้าของเลี่ยวหงจวงก็เปลี่ยนไปทันที นางดิ้นรนด้วยความตื่นตระหนก “หนิงหงเจา นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!”
“คุณหนูเลี่ยว ก็แค่เจ้าดีมา ข้าก็ดีตอบเท่านั้นเอง”
หนิงหงเจาหยิบหินออกมาสองก้อน ดีดใส่จุดชีพจรของพวกเขา จากนั้นก็หันหลังแล้วลงกลอนปิดประตู สาวเท้าเดินออกไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากภายในห้อง เขาก็รีบเดินออกไปที่ลานหน้าบ้าน
ในเวลานี้เอง องครักษ์ที่จับตัวสาวใช้ของเลี่ยวหงจวงกับผู้ชายอีกคนมัดติดกันจนแน่น ก็ก้าวเท้าขึ้นมารายงานว่า “คุณชาย จับทุกคนมาไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้วขอรับ”
“อื้ม จับตาดูพวกเขาไว้ให้ดี ข้าจะไปที่จวนอ๋องอานสักหน่อย” หนิงหงเจาจัด ๆ รีด ๆ แขนเสื้อให้เรียบ พูดด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อย
“ขอรับ!” พวกทหารองครักษ์ตอบรับ แล้วเข้าล้อมเรือนส่วนหลังเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ สองศรีพี่น้องวางกระเบื้องปิดหลังคาลงไปใหม่ ได้ยินคำพูดลามกสัปดนด้านล่าง ค่อย ๆ เอามือที่ยกมาปิดตาวางลงไปอย่างเงียบๆ
“ดูไปแล้ว เหมือนว่าการนั่งชมละครแบบใกล้เกินไป จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียสินะ” เจ๋อหลานพูดด้วยความรู้สึกที่ยังสยองไม่หาย
“นั่นสิ” อานจือก็หน้าแดงหูแดงเช่นกัน พวกนางสองคนยังเป็นแค่เด็กผู้หญิง ไฉนเลยจะเคยได้เห็นฉากที่รุนแรงต่อใจขนาดนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก พวกนางไม่มีโอกาสได้แสดงปฎิกริยา
โต้ตอบเลย
ใครจะคิดล่ะว่า หนิงหงเจาจะยังเก็บผู้ชายสองคนนั้นไว้
อานจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก มิน่าล่ะน้องสาวถึงได้เอาแต่พูดว่าให้รอก่อน ๆ ที่แท้เป็นนางคิดมากจนใจว้าวุ่นไปเองจริง ๆ กระทั่งเรื่องที่ชายสองคนนั้นไม่ได้ออกจากเรือนนี้ไป นางก็ยังไม่
ทันได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ
“แต่พี่เขยก็หล่อมากจริง ๆ นะ โดยเฉพาะตอนที่พูดว่าให้ระวังคำพูดนั่น น่ากลัวจนแม่เลี่ยวหงจวงนั่นตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรต่อเลยล่ะ” เจ๋อหลานพาอานจือกลับลงไปในซอย ปากก็พูดเจื้อยแจ้ว
อย่างมีความสุข
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของอานจือก็แดงก่ำขึ้นกว่าเดิม “พี่เขยอะไรกัน เรื่องแต่งงานยังไม่….ยังไม่กำหนดเสียหน่อย”