บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1809 ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว
“เรื่องนี้กำหนดได้อยู่แล้วล่ะน่า” เจ๋อหลานพูดพลางกระพริบตาวิบวับ
อานจือหน้าพยักหน้ารับรัว ๆ ความรู้สึกที่นางมีต่อคุณชายหนิง เรียกได้ว่าพอใจอย่างถึงที่สุดเลยทีเดียว “รอไว้กลับไปแล้ว ค่อยไปหารือกับท่านแม่อีกครั้ง”
“เอาเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว อย่างไรพวกเราก็กลับกันเถอะ” เมื่อเจ๋อหลานเห็นท่าทางเขินอายของนาง ก็รู้สึกว่ามันช่างสนุกเสียจริง ๆ
ที่สำคัญที่สุดคือ นางมีความสุขแทนพี่สาว เพราะคุณชายหนิงคนนั้นเป็นคนที่กล้าหาญและมีไหวพริบ เอาตัวรอดปลอดภัยได้ไม่พอ ยังปกป้องเกียรติของนางด้วย
“ช้าก่อน น้องสาว เลี่ยวหงจวงคนนี้อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับคนที่ลอบทำร้ายท่านลุงสามก็ได้ พวกเรา…” อานจือมีท่าทีลังเล
เจ๋อหลานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก”
ผลสุดท้ายคือไม่ต้องร้อนใจจริง ๆ
ก่อนท้องฟ้าจะล่วงเข้าสู่ยามโพล้เพล้ พวกเลี่ยวหงจวงก็ถูกอ๋องอานคุมตัวไปที่จวนอ๋องอานด้วยตัวเองเลยทีเดียว
เสื้อผ้าบนร่างของคนเหล่านี้แค่เอามาพันปิดไว้เป็นการชั่วคราว ใบหน้าแดงก่ำ ถูกมัดอย่างแน่นหนาแต่กลับยังดิ้นรนบิดส่ายตัวไปมาไม่หยุด
“ดู ๆ ไปแล้ว เหมือนว่ากลิ่นหอมประหลาดนั่นจะร้ายกาจมากจริง ๆ นะ” ขณะที่ยืนอยู่ส่วนเรือนหลัง มองดูคนพวกนี้ถูกพาไปคุมขังที่คุกของจวน อานจือก็กระซิบพูดข้างหูของเจ๋อหลานเบา ๆ นี่
มันผ่านไปตั้งหลายชั่วยามแล้วแท้ ๆ แต่ฤทธิ์ยาในตัวของคนพวกนี้กลับยังไม่หมดลงเสียที
เจ๋อหลานพยักหน้า “ยิ่งจิตใจคนชั่วร้ายแค่ไหน ของที่ถูกทำออกมาก็ยิ่งชั่วร้ายมากขึ้นเท่านั้น”
นางมองหนิงหงเจาที่ถูกอ๋องอานเชิญมาคุยในห้องโถงอีกครั้ง อ๋องอานพูดด้วยความโกรธเคืองว่า “รอให้พ่อสอบสวนคนเหล่านี้เสร็จก่อน พวกเราค่อยลงไปล้างแค้นแทนท่านลุงสามกับคุณชายหนิงให้หายแค้น”
เจ๋อหลานเห็นด้วยเต็มที่ “ได้ พวกเราเรียกน้องชายไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
ในห้องโถง หนิงหงเจาซึ่งอยู่ตามลำพังกับอ๋องอานในเวลานี้ ดูค่อนข้างระแวดระวัง เขาหยิบผลการสืบสวนออกมาแล้วยื่นส่งให้อ๋องอาน จากนั้นก็นั่งตัวตรง พูดโดยไม่หลบหลีกสายตา “หลังจากหลานเข้าสู่เขตปกครองของเจียงเป่ย ก็ได้พบกับหญิงแซ่เลี่ยวคนนี้ เดิมทีในตอนแรก นางอ้างว่าตัวเองแซ่หลี่ เนื่องจากถูกโจรปล้นในย่านชานเมือง จึงมาร้องขอความช่วยเหลือจากขบวนรถของพวกเรา
เป็นเรื่องที่เกิดอย่างกะทันหัน หลานจึงได้สั่งให้คนไปตรวจสอบเบื้องหลังของนาง แม้ว่านางจะซ่อนงำตัวตนได้ดี แต่หลานก็ยังค้นจนพบเบาะแสบางอย่างในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้
มาจากหมู่บ้านบนหุบเขาเหลยถิงในภูเขาพีลี่ของแคว้นเป่ยโม่ มีที่ตั้งอยู่ตรงเส้นระหว่างพรมแดน
ของเป่ยถังกับแคว้นจินและเป่ยโม่ เป็นอาณาเขตที่มิใช่ของใครโดยชอบด้วยกฎหมาย ในหมู่บ้านล้วนแต่เป็นพวกอันธพาลเดนตาย เพื่อเงินแล้วสามารถทำได้ทุกอย่าง ครั้งนี้ได้ปลอมตัวเป็นกลุ่มพ่อค้าจากแคว้นจินเข้ามาในเมืองเจียงเป่ย ”
“ดี ดี ดี!” หลังจากอ่านข้อมูลที่รับมา มือที่กำเป็นหมัดจนแน่นของอ๋องอานก็สั่นระริก ถึงกับพูดคำว่า “ดี” สามครั้งติด ๆ แรงนั้นส่งผลให้หลังคาที่เพิ่งเสริมเข้าไปใหม่สั่นกราวเลยทีเดียว
โจรภูเขากลุ่มนี้ พูดตรง ๆ ก็คือรับเงินของเป่ยโม่ จากนั้นก็รับคำสั่งจากเป่ยโม่ให้มาทำลายความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างเป่ยถังกับแคว้นจิน น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่คุณชายหนิงยกขบวนแห่แหนเอิกเกริกมาเจรจาเรื่องสู่ขออานจือของเขาในครั้งนี้ เกิดไปสะดุดตาคนกลุ่มนี้ให้กระโดดโลดเต้นเสียจนตัวลอย ถึงได้เผยความลับออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้
เขายืนขึ้น ท่าทางดุดันเย็นชา พูดกับหนิงหงเจาว่า “หลานชาย คืนนี้มีหลายเรื่องต้องจัดการ คงไม่อาจรั้งเจ้าไว้ได้ อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงที่จวน หวังว่าเจ้ากับพี่หนิงจะให้เกียรติมาร่วมสังสรรค์กันสักครั้ง ”
“เช่นนั้นหลานไม่รบกวนแล้ว วันหลังหลานจะมาเยี่ยมเยียนพร้อมกับท่านพ่อนะขอรับ” หนิงหงเจาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ค้อมกายคำนับแล้วเดินจากไป
หลังออกจากจวนอ๋องอาน พวกมู่โถวก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที
“คุณชาย!”
หนิงหงเจาพยักหน้า มองไปที่หัวหน้าทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่อีกด้าน ขมวดคิ้วน้อย ๆ ” จู้จื่อ ข้าสั่งให้เจ้าคอยจับตาดูพวกเขา นั่นคือหน้าต่างที่เจ้าไปปิดอย่างนั้นรึ?”
เมื่อครู่นี้ ตอนที่เขานำอ๋องอานไปจับคนร้าย ก็สังเกตเห็นจุดผิดปกติจุดนี้แล้ว แต่ด้วยเพราะเวลานั้นอ๋องอานยังอยู่ด้วย จึงไม่เหมาะที่จะถาม จึงทำได้แค่สั่งให้คนเจาะหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นในห้องออกไปก่อน
จู้จื่อส่ายหน้า “คุณชาย ตอนที่พวกเราเข้ามาในเรือน หน้าต่างบานนั้นก็ปิดสนิทอยู่ก่อนแล้ว พวกเรารอจนท่านกับอ๋องอานมาถึง ค่อยทำลายประตูแล้วบุกเข้าไปขอรับ”
คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าตาม แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปแล้วแต่ทุกคนก็ยังนึกหวาดหวั่นไม่หาย
เมื่อย้อนนึกถึงภาพฉากนั้น ทุกคนก็แทบจะอาเจียนออกมาให้ได้ คนพวกนั้นเล่นกันดุเดือดจนลืมสิ่งรอบข้างไปหมด หน้าต่างถูกทุบจนพังไปทั้งแถบก็ยังไม่รู้ตัว ขนาดคนของอ๋องอานพังประตูเข้า
ไปแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด ถึงกับต้องให้พวกเขาเอาผ้าห่มเข้าไปพันแล้วกระชากจนสุดแรง ถึงได้แยกออกจากกันสักที
กล่าวโดยสรุปคือ ภาพฉากนั้นจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใช้เวลาอีกนานในการรักษาเยียวยา
มีเพียงมู่โถว ที่รอบตามีรอยช้ำดำปี๋เป็นหมีแพนด้าสองวงเต็ม ๆ จ้องมองไปที่ทุกคนโดยไม่รู้อะไรกับใครเขาเลย เขาอายุสิบสองแล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วนะ มันเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้ช่างลึกลับขนาดนี้
ถึงกับให้เขารู้ไม่ได้ คุณชายยังถึงขั้นให้เขาไปพักร้อนที่ไหนก็ไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
หนิงหงเจาขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเริ่มจะไม่สู้ดีขึ้นมาแล้ว “เครื่องหอมที่จุดอยู่ในเรือนนั่น ก็คงไม่ใช่ฝีมือพวกเจ้าแน่แล้วล่ะ”
“แต่ข้าน้อยไม่พบคนอื่นในนั้นเลยนะขอรับ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคุณชายจำผิด ว่าเดิมทีเครื่องหอมนั้นก็จุดติดอยู่แล้ว หรือเดิมทีหน้าต่างนั้นก็ถูกปิดอยู่ก่อน….” สีหน้าของจู้จื่อก็เคร่งเครียดขึ้นมาด้วย
แต่พอพูดไปได้ครึ่งทาง ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อที่ตัวเองพูดด้วยซ้ำ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ “ท่าจะไม่ดีแล้ว คงไม่ใช่ว่าเจ้าหญิงน้อยเจ๋อหลานกับ….. นั่นแปลว่าพวกนางก็เห็นหมดแล้วน่ะสิ? ”
ถ้าหากไม่ใช่ แล้วใครกันที่เป็นคนไปปิดหน้าต่างของเรือนหลังนั้น แล้วไปจุดเครื่องหอมที่คุณชายของพวกเขาดับไปแล้วขึ้นมาใหม่อีกครั้ง?