บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 181 ท่านอ๋องท่านช่างปากเสียนัก
หลังจากที่อ๋องซุนอาบน้ำเสร็จ ก็แต่งองค์ออกมาด้านนอก
ที่จริงเขาก็ดูลดลงไปเล็กน้อย แต่ก็น้อยมาก เห็นว่าลดลงบ้างก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว
“พี่รองขยันมาก” หยวนชิงหลิงพูดให้กำลังใจเขา
อ๋องซุนทำมือ “ออกกำลังกายบ้างถึงจะดี สักหน่อยยังต้องฝึกซ้อมดาบ”
หยวนชิงหลิงประหลาดใจ: “ฝึกซ้อมดาบ? อย่างนั้นช่วงนี้พี่รองก็ออกกำลังกายหนักมากเลย มิน่าถึงดูผอมลงบ้างแล้ว”
“ต้องฝึก เพื่อเพิ่มทักษะการต่อสู้” อ๋องซุนพูดออกมาอย่างไม่ละอาย “ข้าฝึกซ้อมยังคงพอใช้ ถ้าเทียบกับคนฝีมือเก่งกาจ ยังถือว่าสู้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอ๋องฉี น่าจะพอสูสีแล้ว”
พระชายาอ๋องซุนแทบสำลักน้ำชาออกมา
หยวนชิงหลิงหันไปมองพระชายาอ๋องซุนแวบหนึ่ง พบว่านางชอบทำให้อ๋องซุนขายหน้า
ทักษะการต่อสู้ของหยู่เหวินเห้าสูงขนาดไหนนั้น หยวนชิงหลิงไม่รู้ เพราะนางเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง
แต่ดูจากปฏิกิริยาของพระชายาอ๋องซุนแล้ว ทักษะการต่อสู้ของหยู่เหวินเห้าน่าจะสูง
“เจ้ายิ้มอะไร? หรือคิดว่าข้าเทียบอ๋องฉีไม่ได้?” อ๋องซุนหันไปจ้องนาง
“ไม่ใช่เพคะ จะเป็นไปได้อย่างไร? ถ้าสู้กันขึ้นมาจริง อ๋องฉีก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ท่าน ท่านสามารถจัดการเขาได้อย่างแน่นอน” พระชายาอ๋องซุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อ๋องซุนโมโหพลันเดินออกไปทันที
หยวนชิงหลิงหันไปมองนาง “พี่สะใภ้รองท่านจะแหย่เขาเพื่ออะไร?ยากมากกว่าเขามีจิตวิญญาณการต่อสู้”
พระชายาอ๋องซุนถอนหายใจออกมาเบาๆ “ยากมากกว่าเขามีจิตวิญญาณการต่อสู้?ถ้าหากว่าเขามีจริง ข้าเองก็คงไม่พูดให้เขาแบบนี้ แต่ว่าเขาไม่มี เขาเพียงแค่ทำเหมือนจะลดน้ำหนัก แต่คนนอกที่ดูนั้นไม่คิดแบบนั้น”
หยวนชิงหลิงอึ้งไปชั่วขณะ “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
พระชายาอ๋องซุนถอนหายใจออกมา “ความเคลื่อนไหวขององค์ชายในราชวงศ์หลานคนกำลังโดนจับตามอง เขาเป็นคนชอบกินมาโดยตลอด พอหลังจากโดนทำร้าย อยู่ดีๆ ก็มีแรงฮึบ ทั้งออกกำลังกายที่งฝึกซ้อมการต่อสู้ เจ้าคิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร?ถ้าหากว่าคิดทำจริงๆ ก็คงดี แต่ข้าดูออกว่าไม่ใช่”
หยวนชิงหลิงไม่นึกว่าพระชายาอ๋องซุนจะวิเคราะห์ได้ละเอียดขนาดนี้ และยังมองเห็นปัญหาได้อย่างทั่วถึง
นางพูดเสียงเบา: “ทำไมพี่รองจะไม่มีจิตวิญญาณในการต่อสู้?”
“เขาเป็นคนขี้ขลาด!” พระชายาอ๋องซุนพูดอย่างจริงจัง: “พูดตามตรง ก็คือเขากลัวตาย”
“ข้าไม่คิดอย่างนั้น ข้ากลับคิดว่าท่านพี่รองเป็นคนที่มีไหวพริบ เขาไม่ได้กลัวตาย ไม่อย่างนั้นตอนที่โดนลอบทำร้าย เขาคงไม่สละชีวิตปกป้องข้าหรอก”
พระชายาอ๋องซุนชะงักไปทันที “อันนี้ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลย”
หยวนชิงหลิงจึงพูดต่อ: “ความกลัวครั้งนี้ของท่านพี่รองนั้นกระตุ้นเขาจริงๆ เพียงแต่ท่านเองก็ยังบอกว่าตอนนี่ในจวนกำลังถูกคนจับตามอง เขาทั้งออกกำลัง ทั้งซ้อมดาบ เรื่องแบบนี้ก็ปรากฏแล้ว คนที่จับจ้องเขา คงดูอีกไม่นานเดี๋ยวก็หลุดแล้ว ตอนนั้นท่านก็ค่อยดูว่าท่านพี่รองจะมีท่าทีอย่างไร”
หยวนชิงหลิงกับอ๋องซุนเคยรู้จักกันมาบ้าง หารือกันมาหลายครั้ง วิธีจัดการของเขานั้นง่ายมาก เขาไม่มีทางหลบหลังต้นไม้ คนเดียวที่น่าสงสัยตอนนี้คือ พระชายาจี้
หรือว่าเป็นความบุ่มบ่าม?เขาไม่รู้หรือว่าการยั่วโมโหพระชายาจี้นั้นจะทำให้เกิดผลร้ายอะไร?
แต่ว่า พระชายาจี้กลับไม่เห็นเขาในสายตา ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นเพราะมีเรื่องกับนาง แต่ไม่ใช่พุ่งเป้าไปที่อ๋องซุน
ถ้าหากว่าเขาไปล่วงเกินพระชายาจี้ พอเขาเกิดเรื่องขึ้น พระชายาจี้ไม่มีทางหลุดพ้นได้แน่ และบวกกับนิสัยชอบเที่ยวเล่น รู้จักแค่การกินเที่ยว พระชายาจี้คงขี้เกียจพูดแล้ว ดังนั้นเขาก็อาจจะปกปิดเอาไว้ได้
ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย คนที่ฉลาดที่สุดที่จริงคือ อ๋องซุน
อ๋องฉีนั้น เป็นคนที่มีความอดทน แต่เขายังเทียบกับอ๋องซุนในเรื่องการสู้แบบลับๆ ไม่ได้
พระชายาอ๋องซุนพยายามครุ่นคิด ทันใดนั้นนางก็เงยหน้า พลางจับมือหยวนชิงหลิงไว้ “คำพูดเจ้าพวกนี้ ได้เตือนสติข้า ชิงหลิง เจ้าเป็นคนมองคนออก ข้าไม่สู้เจ้า ต้องเรียนรู้จากเจ้าอีกเยอะ”
หยวนชิงหลิงยิ้มอ่อน “ข้าชอบคุยกับคนอย่างพี่สะใภ้รองมากที่สุดเลย”
ทั้งสองคนมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ความสัมพันธ์ที่ดีของเหล่าสะใภ้ จึงได้ค่อยๆ เริ่มขึ้น
ผ่านไปสองสามวันอ๋องหวยก็เข้าไปคารวะในวัง
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองคนที่เกือบจะฆ่าบุตรชายเขาตาย ก็รู้สึกตงิด เห็นแก่หน้าของหลู่เฟยจึงได้รับสั่งให้มู่หรูกงกงพระราชทานทองคำให้หยวนชิงหลิงหนึ่งพันตำลึง……ให้หนังสือรับสภาพหนี้ไปก่อน
หยวนชิงหลิงได้รับพระราชทาน แต่ฉู่หมิงชุ่ยกลับเสียเลือดมาก
นอกจากรับผิดค่าใช้จ่ายคนบาดเจ็บแล้ว ยังต้องได้ใช้ชื่อเสียงของราชสำนักในการบริจาคอีก โดยเฉพาะคนที่รับโจ๊กด้านนอกเมือง ให้พอใช้หนึ่งเดือน
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกโมโหในเรื่องที่ฉู่หมิงชุ่ยทำลงไปเพราะเป็นเรื่องเท็จ
แม้ว่าจะไม่ทรมาน แต่พอกลับไปที่ตำหนักหลังก็ไปต่อว่าฮองเฮาอย่างหนัก
ฮองเฮาก็ต้องเรียกฉู่หมิงชุ่ยเข้าวังมาเพื่อรับผิดชอบ อย่างแน่นอน ฉู่หมิงชุ่ยรู้สึกน้อยใจมาก ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร และทำได้เพียงยอมรับความผิดเต็มๆ
และสิ่งที่ทำให้นางต้องทรมานที่สุดนั้น ก็คือ ฮองเฮากล่าวโทษนาง แต่อ๋องฉีกลับไม่ช่วยพูดอะไรเลย เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ยืนฟังอยู่เท่านั้น
ผ่านไปสองวัน ฮองเฮาก็ได้จัดงานชมดอกไม้ขึ้น
เพื่อเชิญชวนคุณหนูสูงเข้ามาร่วมงาน รวมถึงเหล่าชายาเองก็ต้องออกงานด้วย
หยวนชิงหลิงเองก็ต้องแต่งองค์เพื่อมาร่วมงาน นางล่วงเกินฝ่าบาทเพราะเรื่องหยวนเจ๋ นางจึงไม่กล้าทำอะไรอีก แต่นางต้องมาร่วมงาน และพยายามสำรวม
ตอนที่ออกมานั้น หยู่เหวินเห้าเองก็กำชับหนัก “ถ้าหากว่าฮองเฮาถามเจ้าว่า หญิงสาวคนไหนดูดี หรือว่าชอบหญิงสาวคนไหน เจ้าต้องจำไว้ว่าต้องบอกว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
หยวนชิงหลิงแปลกใจ “ทำไมนางถึงจะถามข้าแบบนั้น?”
“แค่เจ้าจำได้ก็พอแล้ว” หยู่เหวินเห้าพูดแบบมีเลศนัย
หยวนชิงหลิงได้สติ ก็อดตกใจไม่ได้ “คงไม่ได้จะหาชายารองให้ท่านหรอกนะ?”
หยู่เหวินเห้าจึงพูดขึ้น: “เพียงแค่ต้องการหาให้อ๋องฉี แต่ว่าเจ้าล่วงเกินฮองเฮา นางต้องคิดหาให้ข้าเพิ่มแน่นอน”
“ข้าไปทำอะไรนางตอนไหน?” หยวนชิงหลิงโกรธมาก นางเป็นคนมีสัมพันธไมตรีคนหนึ่ง พอหลังจากมาอยู่ที่นี่ก็ไปทำผิดใจคนนั้นที คนนี้ที
“ใครจะรู้ล่ะ?ยังไงเจ้าก็เป็นตัวกระตุ้น ใครก็รู้สึกไม่ชอบเจ้า ถ้าหากว่าไม่อยากให้คนมาดูแลข้าเพิ่ม เจ้าก็ทำตามนั้น” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างอวดเบ่ง
“ท่านยินยอมหรือไม่?” หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วพูดขึ้น
หยู่เหวินเห้าหยักไหล่ “ข้าจะมีสิทธิ์บอกว่ายินยอมหรือไม่ยินยอมด้วยหรือ?ยังไงซะตอนนี้คนบางคนก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเท่าไหร่ ข้าหวังแค่ว่าไม่มีการแก่งแย่งกัน ถ้าเพิ่มจำนวนคู่แข่งอีก อาจจะทำให้ดูแลดีมากขึ้น”
หยวนชิงหลิงหัวเราะออกมา: “ท่านวางใจได้ ข้าได้เตรียมหาให้ท่านแล้วสองสามคน”
พูดจบ นางก็หันไปถามสวีอี “เออใช่ สวีอี ในเมืองหลวงมีร้านที่ให้หญิงสาวไปเที่ยวโดยเฉพาะหรือไม่?ที่มีชายรูปงามหน่อย”
สวีอีทำตาโต “คำถามนี้พระชายาถามได้ถูกคนแล้ว มีขอรับ อยู่ตรงซอยอู่จื่อ เพียงแค่ท่านมีเงิน……”
หยู่เหวินเห้าพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที “สวีอี เจ้าคงไม่อยากอยู่ต่อแล้วใช่ไหม?”
สวีอีเงียบเสียงทันที พลางผงกหัว
หยู่เหวินเห้าโอบไหล่หยวนชิงหลิง “ดูเจ้าสิ ในเมืองหลวงจะมีชายใดรูปงามสู้ข้า?เจ้าได้อยู่กับของล้ำค่าแล้วยังไม่รู้ตัวอีก เดี๋ยวข้าจะพูดให้เจ้าฟัง”
“ไม่ต้อง รอให้คืนนี้ข้าไปหาหญิงสาวให้ท่าน ท่านค่อยดูแลคนของท่านเถอะ” หยวนชิงหลิงแงะมือเขาออก แล้วหันไปพูดกับแม่นมสี่: “เราไปกันเถอะ”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น: “ใจแคบแล้วใช่หรือไม่?พูดเล่นบ้างก็ไม่ได้หรือไง?”
หยวนชิงหลิงไม่ได้สนใจเขา แล้วเดินออกไปกับแม่นมสี่
สวีอีที่ดูจะไม่อยากอยู่ต่อแล้ว อดไม่ได้จึงพูดขึ้น : “ท่านอ๋องท่านเป็นคนปากเสีย”