บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1822 ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก
ในตอนกลางคืน
จิ่งเทียนวางฎีกาลง นวดระหว่างคิ้ว เอาเสื้อคลุมมาสวม แล้วขึ้นไปบนหอทงเทียนจูเยว่คนเดียว
วันนี้ไม่มีคนมาจุดไฟบนหอทงเทียน เพราะพระจันทร์ส่องสว่าง กล้วยไม้บนบันไดส่องแสงสว่างไสว เป็นความงามที่ตัวอักษรไม่สามารถบรรยายได้
จิ่งเทียนคิดในใจ คงจะดีไม่น้อยถ้ามีวิธีบันทึกความงดงามนี้ไว้ได้ แบบนั้นจะได้ให้เจ๋อหลานได้เห็นด้วย
วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร มักรู้สึกจิตใจไม่ค่อยสงบ มีเพียงช่วงเวลานี้ ยืนอยู่บนสูงสุดของหอทงเทียน จับราวบันไดแล้วมองไปทางจวนเจียงเป่ย ค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย
จดหมายลับของเสี่ยวหนิงส่งมาถึงตอนเช้ารุ่งเมื่อสามวันก่อน พูดถึงการทดสอบอย่างแรกของเจ๋อหลานกับอานเหอจวิ้นจู่อย่างละเอียด แล้วเสี่ยวหนิงประสบความสำเร็จได้อย่างไร ตลอดจนการจัดการในเวลาต่อมาของเสี่ยวหนิง เสี่ยวหนิงบอกว่าถึงแม้จะยังไม่ได้เจออานเหอจวิ้นจู่ แต่เสี่ยวหนิงก็จะพยายามผ่านการทดสอบของนาง ตามแผนการของเสี่ยวหนิง ในสองวันนี้น่าจะจับโจรภูเขาแหล่งกบดานเหลยถิงมาส่งที่จวนอ๋องอานแล้ว มีผลงานอันนี้แล้ว ท่าทีอ๋องอานแห่งเป่ยถังที่มีต่อเสี่ยวหนิงน่าจะดีขึ้นบ้าง ความหวังที่เสี่ยวหนิงจะสมดังปรารถนาก็ยิ่งใกล้ยิ่งขึ้น
ในจดหมายยังไม่ลืมที่จะพูดเสริมว่า น้องฟีนิกซ์ที่ลอยอยู่บนฟ้าก็แลดูไม่เลว คาดว่าเจ้านายน้องฟีนิกซ์ก็คงสบายดี
จิ่งเทียนหัวเราะ นั่นคือสิ่งที่เขากำลังพยายามทำอยู่
กำลังคิดอยู่ บนท้องฟ้าก็มีเม็ดฝนตกลงมา
จิ่งเทียนยกมือขึ้น สายฝนโปรยปรายอยู่ในฝ่ามือ กลายเปลี่ยนเป็นกล้วยไม้น้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ฉายแสงเป็นประกายกลางแสงจันทร์
เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
“น่าอิจฉาอะไรหรือ?” เจ๋อหลานเดินออกมาหาเขาอย่างยิ้มแย้ม
นางมาถึงแต่แรกแล้ว เห็นจิ่งเทียนกำลังยุ่งอยู่แล้วจึงไม่รบกวน เดินขึ้นมาชมพระจันทร์คนเดียวสักพักแล้วเพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจิ่งเทียนก็มาพอดี แต่จิ่งเทียนขึ้นมาถึงก็ตรงไปยังราวบันไดทางด้านจวนเจียงเป่ย จึงมองไม่เห็นนาง
จิ่งเทียนค่อยๆหันตัวกลับมา พร้อมพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “เจ๋อหลาน?”
“ข้าเอง” เจ๋อหลาน มองลงไปที่กล้วยไม้น้ำแข็งในฝ่ามือของเขา เหมือนมีชีวิต สวยงามอย่างมาก
จิ่งเทียนสังเกตเห็นสายตาของนาง ก็หน้าแดง กำลังจะพูดอธิบาย ก็มองเห็นเหลิ่งหมิงหยู่ถือดาบยืนอยู่ตรงมุม
เจ๋อหลานยิ้มหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าพาน้องชายมาด้วย ยังไม่ได้ทานข้าวเลย”
จิ่งเทียนได้ยินเช่นนี้ รีบละลายกล้วยไม้น้ำแข็งในมือ ถอดเสื้อคลุมบนไหล่ออกมา แล้วก็คลุมให้กับเจ๋อหลาน พร้อมถามขึ้นว่า “งั้นเจ้ากับน้องหมิงหยู่อยากกินอะไร อาหารเป่ยถังที่พวกเราคุยกันครั้งก่อนพวกนั้นดีไหม? ข้าสั่งคนไปเตรียม กลางคืนอากาศหนาว อย่าตากลมหนาวเลย”
“เรากินหม้อไฟกันดีไหม” เสื้อคลุมของเขากว้างใหญ่และอบอุ่น ปกคลุมเจ๋อหลานไว้อย่างมิดชิด เดิมนางไม่ได้รู้สึกหนาว แต่แบบนี้รู้สึกสบายอย่างมาก อบอุ่นอย่างที่สุด
เหลิ่งหมิงหยู่พยักหัวรัวๆ กินหม้อไฟตอนฝนตกมีความสุขอย่างที่สุด
จิ่งเทียนพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ได้ ข้าจะให้คนไปเตรียม”
เซินกงกงที่เฝ้ารอคอยปรนนิบัติอยู่ด้านล่างก็ดีใจอย่างมาก ช่วยจัดการเตรียมอุปกรณ์ทานหม้อไฟด้วยตนเอง
ทั้งสามคนลงมาจากหอทงเทียน ใช้ผ้าขนหนูอุ่นเช็ดหน้ากับมือ แล้วก็มานั่งล้อมวงทานหม้อไฟ
หม้อไฟนี้เจ๋อหลานเคยพูดถึงในจดหมาย จิ่งเทียนจัดเตรียมไว้ได้อย่างครบถ้วน ยังเต็มหม้อยวนยางไว้ให้อย่างรู้ใจ เขาเป็นคนพิถีพิถันเสมอ
ด้านนอกหน้าต่างฝนตกอย่างหนัก ทั้งสามคนกระทบแก้วกัน แล้วก็ทานกันอย่างมีความสุขขึ้นมา
“อร่อย” เจ๋อหลานให้การยอมรับเป็นอย่างดี
เหลิ่งหมิงหยู่ก็พยักหัวตาม น้ำแกงนี้ถึงแม้จะไม่เหมือนกับตอนที่ทานที่บ้าน แต่ก็อร่อยอย่างมาก
จิ่งเทียนพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “ครั้งหน้าท่านลุงกับท่านป้ามา ข้าก็จะเตรียมหม้อไฟต้อนรับพวกเขา” เจ๋อหลานเคยพูดว่า ทั้งครอบครัวนั่งล้อมร่วมกันทานหม้อไฟอร่อยที่สุด
“ดี” เจ๋อหลานตอบรับ ท่านแม่ชอบทานหม้อไฟที่สุด แต่ท่านพ่อชอบทานพุดดิ้งนม จึงพูดขึ้นว่า “ครั้งหน้าข้าสอนเจ้าทำพุดดิ้งนม พ่อข้าชอบทาน”
“ดี” จิ่งเทียนพยักหัวอย่างจริงจัง
ดื่มทานจนอิ่มน้ำสำราญ จิ่งเทียนสั่งคนเก็บหม้อไฟ แล้วเป็นซวนเหมยทาง บรรเทาการย่อยอาหารมันเยิ้ม
“เจ้ามาหาข้าในครั้งนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?” จิ่งเทียนถามขึ้น