บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1827 ใจแคบ
จิ่งเทียนได้ฟังแผนการของเจ๋อหลาน รู้ว่าตนเองคือส่วนที่สำคัญที่สุด จึงพูดขึ้นอย่างซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ว่า “เจ๋อหลาน แผนการนี้ดีอย่างมาก แต่โน้มน้าวเพียงแค่คนเดียวไม่น้อยไปหรือโน้มน้าวพวกเขาทั้งหมดเลยดีไหม?”
“ได้” เจ๋อหลานยังไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษของจิ่งเทียนสามารถใช้ได้ขนาดไหน เดิมคิดว่าเขาอาจจะมีความจำกัด ถึงเลือกที่จะโน้มน้าวผู้นำโจรก่อน แล้วค่อยให้ผู้นำโจรคนนี้ไปควบคุมจัดการคนอื่น
หนิงหงเจารู้ดีว่าทั้งสองคนมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินพวกเขาพูดว่าพวกเขาใช้พลังเหนือธรรมชาติลงโทษพวกโจรอย่างสบาย รู้สึกเหมือนการซาบซึ้งจนน้ำตาไหล เหมือนอย่างกับ เจ็บไปทั้งตัว ชาจนน้ำตาจะไหล และบนแหล่งกบดานเหลยถิงมีคนสี่ร้อยกว่าคน จะโน้มน้าวได้หมดหรือ?
เมื่อคุยรายละเอียดเสร็จแล้ว พวกเขาหาร้านน้ำชาหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ
แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนอย่างตอนเดินทางเริ่มแรก เจ๋อหลานจิ่งเทียนอยู่ข้างหน้า เหลิ่งหมิงหยู่อยู่ตรงกลาง หนิงหงเจากับมู่โถวอยู่หลังสุด
ใบหน้ามู่โถวฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาและความไร้เดียงสาเหมือนเดิม วิ่งไปเก็บผลไม้มาให้กับทุกคนอยากมีความสุข เพียงแต่รอยคล้ำรอบดวงตา 2 ข้างสะดุดตาเป็นพิเศษ
“น้องชาย ตาของมู่โถวเป็นอะไร?” เจ๋อหลานมองก็รู้เลย จึงเดินช้าลงแล้วถามเหลิ่งหมิงหยู่
เหลิ่งหมิงหยู่กำลังเช็ดผลไม้เตรียมจะกิน ได้ยินพี่สาวถาม ก็กลอกตามองบนยังได้น้อยครั้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เขาวุ่นวายเกินไป บอกว่าจะขอโทษข้า ข้าบอกว่าข้าไม่โกรธ เขาไม่เชื่อ รบเร้าที่จะให้ข้าต่อยเขาให้ได้”
เจ๋อหลานเบิกตาโต นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำขอเช่นนี้ มู่โถวคนนี้น่าสนใจจริงๆ แต่ดูแล้วน้องชายก็ไม่ได้เกลียดมู่โถว นางถึงไม่สนใจ
ในวัง เมืองหลวง
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นด้วยเสียงลากยาวว่า “เจ้าหยวน ข้าบอกเจ้า คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ข้อบกพร่องของเขาก็มีสั้นแค่นั้น ใจแคบก็คือข้อบกพร่อง และก็เป็นการบกพร่องอย่างสาหัส”
“ใช่ เจ้าพูดถูก” หยวนชิงหลิงช่วยจัดคอเสื้อให้เขา พร้อมพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “เหมือนอย่างข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงคนหลายร้อยคน ต่างก็ทานข้าวกันมาจนเติบโต ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้”
“ใช่ เจ้ากับพวกเขามีความแตกต่างกันอย่างมาก” หยวนชิงหลิงถือถาดแป้ง ทาบนใบหน้าของเขา สีหน้าไม่เลวด้วย
“แน่นอน” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างกระหยิ่มใจ
“อืม ย่อตัวลงหน่อย ข้าทำผมให้ สบายตัวเกินไปหน่อย” หยวนชิงหลิงยิ้มหัวเราะ พร้อมพูดขึ้น
“ทำพอประมาณก็พอ อย่าทำจนโทรมเกินไป” หยู่เหวินเห้ามองดูในกระจก ชายชราในกระจกสีบรอนซ์ก็กำลังมองมาที่เขา แล้วพูดขึ้นอย่างรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมว่า “ต้องย้อมผมขนาดนี้เลยหรือ? ข้าคิดว่าสีขาวทั้งหมดมันดูดีกว่าสีเทานะ”
“ข้าคิดว่าแบบนี้ดี ดูสิ เหมือนมู่หรูกงกงเลย” หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ
เขามองดูใบหน้าแกชราของมู่หรูกงกงแวบหนึ่ง แล้วก็พูดว่า “เหมือนตรงไหน?” มู่หรูแก่ขนาดนี้
มู่หรูกงกงก็มองดูเขาแวบหนึ่ง รู้สึกวิตกขึ้นมาทันที เขาดูซีดเซียวขนาดนั้นเลยหรือ? ใบหน้าของฮ่องเต้ไม่ได้ดูแก่ แค่ดูประมาณห้าสิบกว่า แต่หลักๆ คือความผันแปรของชีวิต
ราวกับผ่านประสบการณ์ความยากลำบาก สะสมเป็นริ้วรอยตีนกา กำลังพูดอยู่อย่างตาลปัตร เลือกย้อมผมสีขาวแต่ละเส้นบนหัว ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องแต่ละเรื่อง
หยวนชิงหลิงพอใจกับผลงานของตนเองมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “แบบนี้เหมาะสมดีแล้ว เหมือนคนเฝ้าประตูเมืองมาครึ่งชีวิต ถูกแสงแดดแผดเผา ทหารเฝ้าประตูที่ไม่เคยห่างหายไปจากการแลกเปลี่ยนที่หนาวเย็นหรือร้อนผ่าว”
หยู่เหวินเห้ามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เห็นข้าเป็นแบบนี้ ในใจเจ้าไม่ทรมานหรือ? นี่เป็นรูปลักษณ์ตอนที่ข้าแก่”
“ไม่ทรมาน” หยวนชิงหลิงเอื้อมมือไปจับใบหน้าของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าหน้าจะเป็นสีแล้วก็ตาม แต่ข้ารู้สึกว่าเนียนไปหน่อย ทำจุดด่างเหมือนอย่างคนมีอายุจะเหมือนยิ่งกว่า”
“ไม่เอา ข้าปฏิเสธที่จะแก่” หยู่เหวินเห้ารีบห้ามทันที ตัดหัวก็ได้เลือดไหลก็ได้ ความแก่เป็นโศกนาฏกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของวีรบุรุษ
คิดไปคิดมาแล้วก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมข้าจะต้องไปเฝ้าประตูเมืองแทนเหล่าหง เหล่าเหลิ่งถึงจะยอมกลับมา? ในใจของเขาข้าไม่มีความสำคัญเท่ากับเหล่าหงหรือ? พูดว่าเขาเพียงไม่กี่ประโยค ก็คิดแค้นขนาดนี้ เกินไปแล้วจริง ยังจะให้ข้าไปเฝ้าประตูเมืองตั้งเจ็ดวัน ข้าไม่ต้องว่าราชการแล้วหรือ? ฎีกาเยอะขนาดนี้ ใครจะมาตรวจ? หากมีเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ จะส่งคนไปบอกข้าที่ประตูเมืองหรือ?”
“ต้องว่าราชการ และก็ต้องตรวจฎีกา ตอนที่หลังจากเจ้าเปลี่ยนเวรแล้วค่อยมาตรวจ ทนๆไปเถอะ เหลิ่งจิ้งเหยียนไม่เคยโกรธมาเป็นสิบปี นี่เป็นครั้งแรก”
หยวนชิงหลิงคิดแล้วก็ขำ คำพูดที่เขาพูดกับหงเย่ ถูกหงเย่พูดออกไป เหลิ่งจิ้งเหยียนกับท่านชายสี่ไม่พอใจ รวมใจกันแกล้งป่วย ยังพูดว่าจะไม่มาทำงานในสามห้าเจ็ดปีนี้ ให้เจ้าห้าร้อนใจตาย
หลังจากที่คุยกันแล้วหลายรอบ อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอออกมาว่า ให้เจ้าห้าไปเฝ้าประตูเมืองแทนหงเย่ หลังจากเฝ้าเสร็จแล้ว ก็จะเลิกแล้วต่อกัน
เจ้าห้าถูกบังคับให้ยอมรับ ยังไงแผ่นดินนี้ก็แซ่หยู่เหวิน เขาที่เป็นฮ่องเต้หากไม่ทุกข์ยากลำบากบ้าง จะได้ใจพวกเขาได้อย่างไร?
“ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าไหม?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
“ไม่ต้อง อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้าไปก็ทนไม่ไหวหรอก” คลื่นความร้อนด้านนอก เขาจะปล่อยให้ภรรยาไปทนทุกข์ได้อย่างไร?
“งั้นข้าน้อยไปกับท่าน ข้าน้อยคอยบริการน้ำชาอยู่ด้านข้าง” มู่หรูกงกงรีบพูดขึ้น
“เจ้าก็ไม่ต้องไป” หยู่เหวินเห้ามองดูร่างกายที่แก่ชราของเขา เขาคอยปรนนิบัติอยู่ในวังหลายปีมานี้ งานส่วนใหญ่ก็ให้ลูกน้องไปทำหมดแล้ว เขาอยู่อย่างสุขสบายมาแล้วหลายปี จากทนทุกข์ทรมานแบบนั้นได้อย่างไร?
“โย้ แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ? แลดูแก่เชียว ฮ่าๆ” สวีอีเข้ามาจากด้านนอก เห็นรูปลักษณ์เช่นนี้ของฮ่องเต้ ก็หัวเราะขำกลิ้ง
“เจ้าหยวน แต่งให้เขาด้วย ให้เขาไปเป็นเพื่อนข้า” หยู่เหวินเห้ากัดฟันพูด
สวีอีหุบยิ้มทันที ฝีเท้าหมุนไปรอบๆ ถูกมู่หรูกงกงดึงคอเสื้อไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “ใต้เท้าสวีจะไปไหน?”