บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1828 ชายวัยกลางคนที่ประตูเมือง
สีหน้าสวีอีเปลี่ยนไปทันที
เข้าประตูเมืองไม่เป็นไร แต่ไม่จำเป็นต้องแต่งให้เป็นคนแก่
หยวนชิงหลิงกับมู่หรูกงกงต่างหัวเราะ เจ้าห้ากับสวีอีสมแล้วที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี ต่างก็ตายเพราะปากในเวลาเดียวกัน
หากเจ้าห้าไม่หยอกล้อหงเย่ ไม่นินทาเหลิ่งจิ้งเหยียนกับท่านชายสี่ลับหลัง ก็ไม่เป็นแบบนี้
หากสวีอีอดกลั้นหัวเราะไว้ได้ เก็บรวบฟันของตนไว้ให้ดี ก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้ของเขา
โชคดีที่ยังเหลือสีอยู่ไม่น้อย เพียงพอที่จะแต่งให้สวีอีเป็นคนแก่
สวีอีพูดขึ้นอย่างอู้อี้ว่า “ไม่รู้ว่าหัวสมองใต้เท้าเหลิ่งคิดอะไรอยู่ เฝ้าประตูเมืองก็เฝ้าประตูเมืองไปสิ ทำไมจะต้องให้ฮ่องเต้แต่งเป็นคนแก่? ขาวสะอาดแข็งแรง เฝ้าประตูเมืองไม่ได้หรือ? จะว่าไปแล้วก็คือใจแคบ ฮ่องเต้นินทาเขาแล้วยังไง จะว่าหน่อยก็ไม่ได้หรือ?”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวมีใครปากพล่อยไปบอกใต้เท้าเหลิ่งกับท่านชายสี่ เจ้าจะลำบาก” หยวนชิงหลิงยิ้มหัวเราะพร้อมพูดขึ้น
“ในตำหนักก็มีกันไม่กี่คน ใครจะปากพล่อย?” สวีอีเอียงหัวมองดูมู่หรูกงกง พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านห้ามไปพูดนะ”
“ข้าไม่ได้ปากพล่อย” มู่หรูกงกงลากหน้ายาว ในนี้ใครปากพล่อย? เขาสวีอีเป็นคนที่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็กล้าเป็นคนที่สอง
“มู่หรู ไปหาเสื้อผ้ามาให้เขา” หยู่เหวินเห้าดีใจอย่างมาก ในที่สุดก็หาคนไปเป็นเพื่อนได้แล้ว
อย่าเห็นว่ามู่หรูกงกงอายุมาก แต่การเคลื่อนไหวนั้นยังคล่องตัว ออกไปสั่งการสักพัก แล้วก็ได้เสื้อผ้าทหารเฝ้าประตูมาจริงๆ
ในวังมีชุดพวกนี้ เพราะเมื่อวานคุณชายหงเย่เอามาให้ บอกว่ากลัวฮ่องเต้รู้สึกสกปรก จึงส่งมาให้ซักก่อน ซักสะอาดแล้วก็ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ใส่แล้ว
หากใครยังปากพล่อยอีก เสื้อผ้าก็ยังมีเพียงพอ
ทั้งสองแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว มองตากันแล้วก็ทั้งโกรธทั้งอยากขำ
แต่เจ้าห้าก็ตาแดงขึ้นมาในทันที จึงรีบหันหน้าไป
ตอนนี้เขารู้ว่าตนเองจะไม่มีวันแก่ แต่สวีอีต้องแก่
สวีอีต้องมีวันแก่ตาย นึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าต่อไปไม่มีสวีอีอยู่ข้างๆ
สวีอีก็กำลังกลั้นหัวเราะไว้ ในใจก็เสียใจ ถึงแม้ฮ่องเต้จะดูตลก แต่ก็ทำให้รู้สึกทรมาน ฮ่องเต้จะต้องมีวันที่แก่ตัวลงแล้วสวรรคต หากฮ่องเต้สวรรคต เขาก็คงจะต้องตามไปด้วย
ชั่วชีวิตของสวีอี ไม่มีฮ่องเต้ไม่ได้
หยวนชิงหลิงไม่รู้ความในใจมากมายของพวกเขา จึงพูดขึ้นว่า “รีบออกเดินทางเถอะ หากยังไม่ไป พระอาทิตย์ก็จะลับขอบฟ้าแล้ว คาดว่าพวกใต้เท้าเหลิ่งกับท่านชายสี่รออยู่ข้างนอกแล้ว”
วันนี้เจ้าห้าไปเฝ้าประตูเมือง เหลิ่งจิ้งเหยียนสั่งให้กู้ซือไปจัดการให้เป็นการพิเศษ บอกว่ามีคนทำผิดกฎในค่ายทหาร จึงถูกส่งมาให้เฝ้าประตู ให้แม่ทัพหลี่หัวหน้าเฝ้าประตูใช้งานได้อย่างเต็มที่
ตอนนี้มีสวีอีเพิ่มมาอีกคน งั้นก็เรียกใช้พวกเขาได้อย่างที่สุด
เพื่อเป็นการให้เกียรติ ท่านชายสี่ โสวฝู่เหลิ่ง กับหงเย่รอส่งอยู่ด้านนอก ในฐานะที่เป็นข้าราชบริพาร ฮ่องเต้จะไปบุกน้ำลุยไฟ พวกเขาจะต้องมาส่งด้วยตนเอง
เป็นเพราะพวกเขาปากไม่ดี บวกกับฮ่องเต้ไปเฝ้าประตูเมือง ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสุขที่เรียกว่าสุขคนเดียว สู้ความสุขด้วยกันเป็นหมู่มากไม่ได้ จึงได้มีการแจ้งพวกอ๋องชินและผองเพื่อนในเมืองหลวงล่วงหน้าแล้วสองวัน คาดว่าสักพักพวกเขาก็จะรู้แล้วว่าจะไปเยี่ยมชมที่ประตูเมืองยังไง
เพื่อนไม่ให้เพื่อนผองที่ไม่อยู่ในเมืองหลวงพลาดเรื่องเด็ดขนาดนี้ ท่านชายสี่ใช้นกกางเขนส่งสารไปถึงหนานเจียง จวนเจียงเป่ย ทุกๆเมือง ให้ทุกคนต่างได้รับรู้เรื่องเด็ดขนาดนี้พร้อมกัน
“ฮ่องเต้ เอาน้ำไปด้วย อากาศแบบนี้ ดื่มน้ำน้อยเดี๋ยวจะไม่สบาย” ไม่เสียแรงที่โส่วฝู่เหลิ่งเป็นข้าราชบริพารละเอียดอ่อน เอาถุงน้ำหนังวัวมาให้ด้วยตนเอง ยังใส่น้ำจนเต็ม ยื่นให้กับฮ่องเต้ที่สีหน้าแก่ชรา
หยู่เหวินเห้าคว้ารับมา กลอกตามองบน พร้อมพูดขึ้นว่า “คนใจแคบ”
“ฮ่องเต้ใจกว้าง ฮ่องเต้ใจกว้าง” โส่วฝู่เหลิ่งยิ้มหวานยิ่งกว่าดอกไม้บาน คนอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังสวมชุดขาวพลิ้วๆ หล่อๆ เกินต้านทานเกินไปแล้ว
“สวีอี เจ้าไปทำอะไร?” หงเย่ ถามขึ้นอย่างเกียจคร้าน
สวีอีพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “กระหม่อมถูกบังคับ”
“สวีอี วิวทิวทัศน์หน้าประตูเมือง ควรที่จะไปศึกษาดูบ้าง ตามฮ่องเต้สุดที่รักของเจ้าไปเถอะ ไปร่วมกันเฝ้าประตูเมืองหลวงของเป่ยถัง” ท่านชายสี่ตบบ่าของเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง