บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1831 เรียนแบบแม่ทัพหลี่
หยู่เหวินเห้าประทับใจในตัวเขามาก ขุนนางของเป่ยถัง หากทำหน้าที่ของตนเองได้เหมือนเขา เป่ยถังก็คงไม่มีนักโทษต้องนำจับมากมายขนาดนี้แล้ว
แน่นอน ก่อนอื่นฮ่องเต้ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองก่อน
เขาตบไหล่แม่ทัพหลี่อย่างค่อนข้างตื่นเต้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าจะเรียนรู้จากเจ้า ต่อจากนี้ไป จะไม่หนีงานเด็ดขาด”
แม่ทัพหลี่ตบไหล่เขากลับ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าตั้งใจทำงานให้ดี อนาคตไม่จำกัด….” แต่เมื่อเห็นผมขาวของหยู่เหวินเห้า เขาก็เปลี่ยนเป็นพูดขึ้นว่า “อย่างน้อย ไม่ละอายต่อฟ้าสวรรคต ไม่เสียใจกับความตาย”
พูดเสร็จ เขาก็พูดกับสวีอีว่า “เจ้าเรียนรู้จากหวงหวู่หลางให้ดี”
สวีอีก็ค่อนข้างเคารพในตัวเขา พูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แม่ทัพหลี่ เจ้าวางใจ ข้าจะตั้งใจทุ่มเทให้กับหน้าที่ จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ของข้า”
แม่ทัพหลี่มองดูเขาแวบหนึ่ง แล้วลากหน้ายาว
ค่ำมืดแล้ว การทำงานล่วงเวลาสิ้นสุดลง พรุ่งนี้ค่อยลุยต่อ
ทั้งสองคนเพิ่งเดินออกจากประตู ก็เห็นอ๋องฉีขี่ม้าผ่านมาอย่างเชื่องช้า สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกริ่ม
วันนี้เขาเดินผ่านตรงนี้อย่างไม่ตั้งใจแล้วหลายรอบ แต่พี่ห้าเอาแต่ดูเอกสารอยู่ข้างใน ยังไงเขาก็เป็นถึงอ๋องชิน เจ้ากรมการพระนคร ไม่เหมาะสมที่จะมาปรากฏตัวที่นี่อยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงมองจากไกลๆแวบหนึ่ง แล้วก็แอบยิ้มพร้อมจากไป
หยู่เหวินเห้ามีเรื่องต้องคิดหนัก ไม่มีเวลาสนใจเขา ถึงขั้นมองข้ามรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างเจ้าเล่ห์ของเขา ปล่อยให้เขาขี่ม้าตามอยู่ด้านหลังพวกเขา
แต่สวีอี เอามือเท้าเอวเดินอยู่ข้างหลัง พร้อมพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “ท่านอ๋อง ทำไมไม่เอารถม้ามาให้พวกเรา?”
เดินกลับวังนั้นเหนื่อยมาก
“เดินท้าวก็ดี โสวฝู่เหลิ่งบอกว่า พวกเจ้าต้องเดินเท้า” อ๋องฉีพูดขึ้นอย่างยิ้มกริ่ม
“เจ้ายิ้มอะไร?” หยู่เหวินเห้าค่อยเงยหน้ามามองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ไหมว่าที่ประตูเมืองมีเอกสารแจ้งจับนักโทษมากขนาดไหน? เจ้าที่เป็นเจ้ากรมการพระนครละเลยหน้าที่หรือเปล่า? ตอนที่ข้าเป็นเจ้ากรมการพระนคร ในมือแทบไม่มีคดีที่สะสมไว้ แล้วดูเจ้าสิ หลายปีมานี้ สะสมมาได้กี่คดีแล้ว?”
สีหน้าอ๋องฉีเขียวปัด แล้วก็รีบขี่ม้าจากไปอย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้ไม่มาแล้ว
มาดูอย่างเยาะเย้ยแท้ๆ สุดท้ายตนเองกลับถูกเยาะเย้ย
พรุ่งนี้คอยจับตาดูเจ้าพวกเปรตพวกนั้น คลี่คลายคดี คลี่คลายคดี เขาต้องเพิ่มจำนวนการคลี่คลายคดี
หยู่เหวินเห้าเดินต่อไปภายใต้ผงคลีจากเกือกม้าที่ลอยขึ้น ดูมาหลายชั่วยาม สายตาไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด ตอนนี้เขาอยากที่จะรีบทำงาน เขาอยากรีบกลับไปดูฎีกา
หยวนชิงหลิงรออยู่ในตำหนักจนมืด รอจนถึงเที่ยงคืน เจ้าห้ากับสวีอีค่อยกลับมา
นางเตรียมอาหารไว้ให้พวกเขาในตำหนัก หยู่เหวินเห้าทานไปนิดหน่อย แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่าว่า “สวีอี ไปเอาฎีกาในห้องทรงพระอักษรมา ข้าจะทำงานต่อ รีบไป”
“ยังจะดูฎีกา ฮ่องเต้ พระองค์ไม่เหนื่อยหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ต้องว่าราชการเช้า เจ้าดูต่อไปได้แล้ว ไปอาบน้ำนอนเถอะ”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ เจ้าหยวน วันนี้ข้าเห็นเอกสารนำจับนักโทษที่ประตูเมืองเยอะมาก ความที่ว่าประเทศชาติมั่นคง แท้จริงแล้วไม่ได้มั่นคงขนาดนั้น”
“ได้ งั้นเจ้าห้ามอยู่จนดึกเกินไป อย่างน้อยต้องนอนสองชั่วยาม” หยวนชิงหลิงตักน้ำแกงให้เขาอีกหนึ่งถ้วย พร้อมพูดขึ้นว่า “ดื่มนี่ด้วย แก้ร้อนใน”
เจ้าห้าจะทำงานหนักอีกครั้งแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
“ขอบคุณเจ้าหยวน” หยู่เหวินเห้ายิ้มให้กับนางอย่างตื้นตัน ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นมาดื่มจนหมด หลังจากเช็ดมุมปากแล้ว มือข้างหนึ่งดึงสวีอีขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ไป ไปเอาฎีกามา ข้าจะดูฎีกาที่ห้องตะวันตก”
สวีอีวิ่งพรวดออกไป
มู่หรูกงกงรีบไปเก็บกวาดห้องตะวันตก ห้องตะวันตกค่อนข้างร้อน ต้องเตรียมน้ำแข็งไว้ให้ฮ่องเต้
หยู่เหวินเห้าทำงานจนถึงดึก แล้วก็นอนที่ห้องตะวันตกหนึ่งชั่วยาม จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาไปว่าราชการ
โสวฝู่เหลิ่งกับท่านชายสี่กลับมาทำงานแล้ว เห็นขอบตาฮ่องเต้ดำคล้ำ ในใจรู้สึกเอ็นดู หลังจากว่าราชการเสร็จแล้ว ให้เขาไม่ต้องไปเฝ้าประตูเมืองแล้ว สั่งกู้ซือไปแจ้งก็พอ
ที่ไหนได้ หยู่เหวินเห้ากลับไม่ยอม พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อบอกแล้วว่าเจ็ดวัน ก็ต้องถึงเจ็ดวัน ข้าเป็นกษัตริย์ พูดคำไหนคำนั้น”
ท่านชายสี่หัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่ประตูเมืองมีอะไรสนุกหรือ? ที่สามารถทำให้เจ้าสนุกจนลืมกลับบ้าน”
“ไม่ใช่สนุกจนลืมกลับบ้าน แต่จิตใจร้อนรุ่มเป็นไฟ” หยู่เหวินเห้าพูดเสร็จแล้วก็รีบกลับไปทานข้าว ทานข้าวเสร็จแล้วก็ยังต้องไปที่ประตูเมือง