บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1832 จับตัวฆาตกร
เฝ้าประตูเมืองอยู่สามสี่วัน หยู่เหวินเห้ากับสวีอีเข้ากับพวกทหารเฝ้าประตูเมืองได้อย่างราบรื่น ทุกคนต่างรู้ว่าคนแก่สองคนนี้กระทำความผิดในค่ายทหารแล้วถูกส่งตัวมา
กระทำผิดแล้วถูกส่งมาเฝ้าประตูเมือง แสดงว่าตำแหน่งสูงไม่เบา
หยู่เหวินเห้ากับสวีอีดูเอกสารนำจับพวกนั้นจนหมด ถามสวีอีว่าจำได้กี่คน สวีอียกมือเกาหัวพร้อมพูดว่าพอจำได้อยู่บ้าง แต่จำรูปลักษณ์ไม่ได้
ยังไงภาพวาดนักโทษพวกนั้น เขาดูแล้วก็แทบคล้ายคลึงกันหมด ต่างมีตาสองข้าง จมูกหนึ่งอัน ปากหนึ่งอัน
แต่หยู่เหวินเห้ากลับจำพวกเขาทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
คล้ายคลึงกันที่สวีอีพูด สำหรับหยู่เหวินเห้าทั้งหมดล้วนน่าจดจำ ขอเพียงนักโทษปรากฏตรงหน้าเขา เขาก็จะจำได้แน่นอน
แม่ทัพหลี่ก็พอใจมาก ถึงแม้คำพูดนี้ดูเหมือนโม้ แต่ต่อให้เขาโม้ ยังไงก็มีความจริงอยู่บ้าง หากอายุหนุ่มกว่านี้หน่อย อนาคตไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ท่านชายสี่กับโสวฝู่ผ่านมาสองครั้ง ก็ไม่เห็นว่าที่ประตูเมืองจะมีคนหรืออะไรน่าดึงดูด ทำไมฮ่องเต้ถึงชอบมาที่นี่
ผ่านไปสามสี่วัน ฮ่องเต้ถึงขั้นจำชื่อทหารคนที่เข้าเวรพร้อมกับตนเองได้ เห็นได้ชัดว่าเข้ากันได้ขนาดไหน
เป็นเพราะเก้าอี้มังกร ทำให้ส่งผลกระทบต่อการเป็นทหารเฝ้าประตูเมืองที่ดี
หยู่เหวินเห้ากับสวีอีก็เริ่มเข้าเวรอย่างเป็นทางการ เริ่มตรวจประชาชนกับขบวนพ่อค้าที่จากเข้าเมืองหลวง
วันที่สี่ตอนพลบค่ำ ตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิด ปกติในเวลาแบบนี้ ทหารเฝ้าประตูจะทยอยกันมาเปลี่ยนเวร หยู่เหวินเห้ากับสวีอียังต้องเฝ้าอีกหนึ่งชั่วยามถึงจะเลิกงาน
แต่เพราะว่าพลบค่ำกำลังจะมาเยือน เวลานี้จึงวิ่งเข้าเมืองมากัน กลัวประตูเมืองปิดแล้วจะไม่ทันเข้าเมือง
ประชาชนเดินทางเร็ว พวกทหารก็ได้รับแรงกดดัน ตรวจตราอย่างรวดเร็วขึ้น หลังจากตรวจสอบทะเบียนบ้านแล้ว ก็ให้ผ่านหมด
ตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิด ชายวัยกลางคนอ่อนแอคนหนึ่งถือไม้ค้ำยันมา หยู่เหวินเห้ารับผิดชอบตรวจตรา
เขาดูทะเบียน เป็นคนจวนแม่น้ำหวย ชื่อหลิวซานชิง เข้าเมืองหลวงไปเยี่ยมญาติและรักษาอาการเจ็บป่วย
“ป่วยเป็นอะไรหรือ?” หยู่เหวินเห้าจ้องมองดูเขาแล้วถามขึ้น คนคนนี้หน้าตาคุ้นๆ ในหัวสมองของหยู่เหวินเห้าคิดถึงรูปภาพเอกสารนำจับทั้งหมดหนึ่งรอบ ไม่พบว่าเหมือนคนไหน
ผู้ชายถือไม้ค้ำยันเดินไปข้างหน้านิดนึง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ตอนที่ทำงานเกษตรแล้วหกล้มขาหัก รักษาอยู่ในหมู่บ้านมาตลอดก็ไม่หาย ลูกพี่ลูกน้องของข้าค้าขายอยู่ในเมืองหลวง ข้าจึงอยากที่จะมาพึ่งพาเขา ให้เขาพาข้าไปหาหมอในเมืองหลวงรักษา”
“ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าชื่ออะไร? พักอยู่ที่ไหน?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
ร่างกายครึ่งหนึ่งของผู้ชายล้มไปด้านข้าง ท่าทีเหมือนเจ็บปวดทรมานมาก แต่ก็ยังตอบหยู่เหวินเห้าอย่างสุภาพนอบน้อมว่า “ลูกพี่ลูกน้องของข้าชื่อหลิ่วกวงหมิง อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 13”
แม่ทัพหลี่เดินออกมา เห็นเขาได้รับบาดเจ็บ ทะเบียนบ้านก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงพูดขึ้นว่า “ให้ผ่านไปเถอะ”
หยู่เหวินเห้าคืนทะเบียนบ้านให้เขา หลังจากเขารับไปแล้ว ก็พบว่าขอบคุณ แล้วก็เดินผ่านหยู่เหวินเห้าไป
“หูฮวา” หยู่เหวินเห้ามองดูแผ่นหลังของเขาแล้วก็เรียกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ชายผู้อ่อนแอเพิ่งเดินไปได้สองก้าว ได้ยินเสียงเรียก เอวของเขาก็ยึดตรงขึ้นมาในทันที ทันใดนั้นเขาก็วิ่งไปในเมืองหลวง
สวีอีกับฮ่องเต้เป็นคู่หูที่ดีที่สุดของกันและกัน ได้ยินฮ่องเต้เรียกว่าหูฮวา เขาก็ตื่นตัวขึ้นมาในทันที ผู้ชายคนนั้นกำลังก้าวเท้าวิ่ง เขาก็กระโจนเข้าไป ล็อคคอของเขาจากด้านหลังและงอเขาไปที่พื้น
คุกเข่าบนหลังของเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ถูกจับได้แล้วยังคิดจะหนีหรือ?”
การกระทำนี้ ทำให้แม่ทัพหลี่กับทหารเฝ้าประตูเมืองต่างก็ตกตะลึง ฝีมือดีมาก
สวีอีกระชากผู้ชายคนนั้นขึ้นมา จับตัวมาตรงหน้าหยู่เหวินเห้า ถึงแม้สายตาของผู้ชายคนนั้นจะค่อนข้างกระสับกระส่าย แต่ก็เยือกเย็นลงในทันที พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าจับตัวข้าอย่างไม่มีเหตุผล หรือในเมืองหลวงไม่มีกฎหมายแล้วหรือ?”
“หูฮวา คนเมืองลวี่ ฆ่าล้างตระกูลเพื่อนบ้านเจ็ดชีวิต หลบหนีมาแล้วสามปี” หยู่เหวินเห้าจ้องมองดูสายตาของเขาเขาพูดขึ้นว่า “ข้าพูดผิดไหม?”
“หูฮวา? เขาคือหูฮวา? แต่ไม่เหมือนในภาพวาดนี่” แม่ทัพหลี่เพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา หมายจับคนคนนี้เขาจำได้ดี เพราะฆ่าล้างตระกูลคนอื่น แม้แต่เด็กก็ไม่เว้น แค่เศษสวะท่ามกลางขยะจริงๆ
พลทหารก็มองดูสวีอี เห็นสีหน้าสวีอีเห็นด้วย จึงถามขึ้นว่า “พี่จุ่ย(หมายถึงสวีอี มีความหมายว่าพูดเยอะ) เจ้าก็ดูออกหรือ?”
สวีอีพูดขึ้นว่า “ฆาตกร ไม่ว่าจะปลอบตัวยังไง ยังไงก็ซ่อนรัศมีความอาฆาตไม่ได้”