บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1851 ท่านชายสี่ทำเกินไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าน้องสาวกำลังจะกลับมา ซาลาเปาก็ขอลาหยุดแล้วกลับวังไปพร้อมกับพวกเขา กลับมาครั้งนี้ก็พาเจ้าตาทับทิมมาด้วย
เด็กคนอื่น ๆ มีเพื่อนเล่นเพียงหนึ่ง แต่ซาลาเปามีถึงสอง คือหมาป่าหิมะกับเจ้าตาทับทิม พี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่จริง ๆ ช่างโดดเด่นเป็นสง่าเปี่ยมด้วยบารมี
ในที่สุด พวกทังหยวนสามพี่น้องก็กลับมาถึงเมืองหลวง แต่ทังหยวนเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงก็ถูกท่านชายสี่พาตัวไปทันที บอกแค่ว่าอยากสื่อสารและรับรู้ถึงคะแนนความก้าวหน้าของเขา
ในฐานะคลื่นลูกใหม่ที่เป็นเจ้าของกิจการบนถนนสายการค้ามากมาย ทังหยวนไม่มีความรู้สึกหวาดหวั่นใด ๆ เลย เขาเดินส่ายอาด ๆ ตรงไปยังจวนอาเขย แล้วพูดคุยกับอาเขยในห้องหนังสือเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม พูดน้ำไหลไฟดับจนอาเขยได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น
หลังจากออกมาแล้วก็พูดกับเจ้าหญิงว่า “เจ้าหลานชายบ้านเจ้าคนนี้ ช่างเก่งกาจมีประโยชน์ยิ่งนัก มีประโยชน์ยิ่งนัก”
แต่ไหนแต่ไรมา เจ้าหญิงไม่เคยพูดจาหักล้างคำพูดของท่านชายสี่ แต่ครั้งนี้นางเอ่ยว่า “ต่อให้เก่งกาจมีประโยชน์แค่ไหน ก็ไม่แน่ว่าจะให้เจ้านำไปใช้ได้หรอกนะ ตัวเจ้าเองก็ประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรับช่วงต่อหน้าที่การงานของเจ้าก็ได้”
“เจ้าไม่อยากให้ข้ามีเวลาอยู่กับเจ้าให้มากกว่านี้หน่อยหรือ? ขอแค่ทังหยวนรับหน้าที่การงานต่อจากข้าไป ข้าก็จะมีเวลาว่างมากเลยเชียวนะ”
“ถ้าตอนนี้เจ้าไม่ยุ่งกับงานราชสำนัก เจ้าก็จะว่างเหมือนกันนั่นล่ะ”
เจ้าหญิงแต่งเข้ามาหลายปีแล้ว จะไม่เข้าใจสถานการณ์นี้เชียวหรือ?
อาณาจักรธุรกิจของเขา ได้รับการเตรียมการอย่างดีมานานมากแล้ว ทุกตำแหน่งสำคัญล้วนจัดวางคนที่เหมาะสมไว้ได้อย่างลงตัวมาก อีกทั้งหลังจากที่คนคนนี้ขึ้นไป ก็จะทำการฝึกฝนขัดเกลาผู้สืบทอดงานเอาไว้ทันที ในฐานะเจ้าของกิจการ สิ่งที่เขาต้องทำจริง ๆ ก็คือการตรวจสอบทุก ๆ ไตรมาส ตรวจดูบัญชีที่ส่งมาจากร้านรวงต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีการตรวจสอบเป็นระยะ ๆ
แต่ตำแหน่งใต้บังคับบัญชาลงไปยังมีคนที่เลี้ยงไว้อีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ช่วยจับตาดูธุรกิจของเขาให้โดยเฉพาะ
อันที่จริง เขาไม่สิ้นเปลืองเวลาหรือติดขัดปัญหาอะไรเลย เขาจับทังหยวนมา ก็เพราะอยากจะเกิดความรู้สึกวางใจได้ในตอนท้าย แล้วเพลิดเพลินไปกับชีวิตที่มั่งคั่งและเวลาว่างที่มีก็เท่านั้น
เขาเคยชอบการทำธุรกิจมาก แต่ตอนนี้เขาเบื่อมันแล้ว
ท่านชายสี่ถูกภรรยามองออก เกิดความรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธ “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ ข้าจะไปประชุมในวังแล้วกัน ไม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว”
“เจ้าไม่ไปหรอก” เจ้าหญิงยิ้มอย่างงดงาม การประชุมนี้มีขึ้นเพื่อช่วยหงเย่ เขาเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ ว่าเรื่องของหงเย่มีโสวฝู่เหลิ่งคอยใส่ใจให้แล้ว เขาไม่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยหงเย่อีก ถ้าจะให้ไปช่วยหงเย่ ยังไม่สู้อยู่บ้านแล้วดื่มชาสักแก้วดีกว่า
ก่อนหน้านี้พี่ห้าให้เขาเข้าวังไปประชุม เขาก็เอาแต่หาข้ออ้างผลักเรื่องนี้ไม่ยอมไปท่าเดียว
ต่อหน้าต่อตาของทุกคน ท่านชายสี่อุ้มนางขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในห้อง
การทิ้งธุรกิจเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขาในตอนนี้ การที่นางซึ่งเป็นภรรยาเอาแต่ขัดคอเขาเช่นนี้ ช่างทำเกินไปแล้วจริง ๆ จำเป็นต้องอบรมสั่งสอน ให้บทเรียนตอนกลางวันแสก ๆ สักหน่อยแล้ว
ในจวนเหลิ่งมีสมาชิกของสำนักเหลิ่งหลังพำนักอยู่ไม่น้อย พวกเขาต่างเอาปรากฏการณ์ประหลาดนี้มาพูดกันในสำนักเหลิ่งหลัง หรงเยว่ก็เป็นสมาชิกของสำนักเหลิ่งหลัง แน่นอนว่านางก็ต้องได้ยินเรื่องนี้เป็นธรรมดา
ด้วยเหตุนี้ ในวันรุ่งขึ้น กลุ่มพี่น้องสะใภ้ในแวดวงราชนิกุลผู้รักการแทะเมล็ดแตงโมกลุ่มหนึ่ง ก็พูดคุยกันถึงเรื่องที่เมื่อวานนี้ ท่านชายสี่เกิดทำตัวบ้าคลั่งประดุจดั่งหนุ่มน้อยวัยกลัดมันกันสนุกปาก
พระชายาซุนสนใจหัวข้อนี้เป็นพิเศษ นางเบิกตาจนกว้าง “กลางวันแสก ๆ ก็ทำอะไรแบบนั้นจริงรึ? ท่านชายสี่โหดเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?” ทำเกินไปแล้วจริง ๆ นะ หัวข้อนี้มันน่าตื่นเต้นจนใจระทึกไปหมดแล้ว
“พี่สะใภ้รอง อย่าเบิกตาจนกว้างขนาดนั้นเลย พวกเราต่างก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าพี่รองจะไม่เคยลองทำเรื่องแบบนั้นตอนกลางวันแสก ๆ” หรงเยว่พูดกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม
พระชายาซุนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็ไม่เคยทำจริง ๆ น่ะสิ”
เจ้าผีน่าตายนั่น ไม่ต้องพูดถึงตอนกลางวันหรอก ต่อให้เป็นตอนกลางคืนก็ไม่เห็นว่าจะมีเรี่ยวแรงสักนิด
ก่อนหน้านี้คิดว่า หลังจากที่เขาลดน้ำหนักได้แล้ว เรื่องนั้นก็คงจะมีน้ำยาขึ้นมาได้หน่อย แต่ผลสุดท้าย ก็อย่างที่โบราณพูดไว้จริง ๆ ออกกำลังฝึกความแข็งแกร่งเสร็จแล้ว กำลังก็ใช้ไปหมดแล้วสิ จะมีเหลือพอถึงตอนกลางคืนได้อย่างไรล่ะ?
นางโกรธมากจนออกปากเลยว่าจะหาอนุให้เขา เจ้าตัวกลับโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “สู้ไม่ไหว สู้ไม่ไหว ไม่เอาหรอก”
ช่างไร้น้ำยาหาแววดีไม่ได้เลยจริง ๆ ถ้าไม่เพราะเห็นว่าตอนนี้เขาสามารถช่วยงานฮ่องเต้ได้ นางคงจะเขี่ยเขาทิ้งไปนานแล้ว
“ฮูหยินเหยา จะว่าไป ฮุ่ยเทียนเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” พระชายาซุนหันไปมองฮูหยินเหยา อายุของนางมากกว่าตนเอง หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง คงไม่ค่อยได้เจออะไรที่มันเผ็ดร้อนมากมายกระมัง?
ฮูหยินเหยาแทะเมล็ดแตงโมเพลิน ๆ ที่นี่มีแต่ญาติ ๆ ที่เป็นผู้หญิง นางย่อมไม่รู้สึกเขินอายเป็นธรรมดา “เขาน่ะรึ? นอกจากช่วงที่ข้าตั้งท้องที่เขาไม่แตะต้องข้าแล้ว เวลาอื่นก็คือแทบทุกคืน พวกเราจะต้อง… เอ่อ เจ้ารู้สินะ”
ทำเอาพระชายาซุนอิจฉานางเสียจนตาร้อนผ่าว ๆ
จากนั้นนางก็หันไปมองฮองเฮาหยวนชิงหลิงอีกครั้ง ช่างเถอะ นางไม่ต้องถามแล้วล่ะ เจ้าห้าดูหนุ่มแน่น สดชื่นกระฉับกระเฉงขนาดนั้น คาดว่าน่าจะเคี่ยวกรำได้ไม่น้อยทีเดียว
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือมีนางคนเดียวนี่ล่ะ ที่เหี่ยวแห้งเป็นแตงเฉากลางหน้าแล้ง