บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1855 มู่หรูคิดว่าตัวเองฝันไป
ในวังเช้าวันนี้ มู่หรูกงกงยังไม่ตื่นนอน องค์ชายใหญ่ก็ยกน้ำร้อนมา บอกว่าจะดูแลปรนนิบัติกงกงล้างหน้าหวีผม
เขาคิดว่าตัวเองคงได้ยินผิดไป “หมายถึงจะให้ข้าน้อยปรนนิบัติท่านล้างหน้าหวีผมใช่หรือไม่? ได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะรีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
เขาดีใจอย่างยิ่ง คิดว่าองค์ชายองค์หญิงเติบโตกันหมดแล้ว คงไม่ต้องการให้เขารับใช้อีกต่อไป คิดไม่ถึงว่าองค์ชายจะยกน้ำร้อนมาเพื่อให้เขาดูแลรับใช้ถึงที่ อั้ยหยา เขายังไม่แก่สินะ เขายังเป็นที่ต้องการขององค์ชายอยู่ เขารู้สึกดีเหลือเกินแล้วจริงๆ
ขณะที่เขายกผ้าห่มขึ้น องค์ชายรองก็เข้ามาด้วย ในมือถือถ้วยชามาใบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “หลังจากล้างหน้าหวีผมเสร็จแล้ว ก็ดื่มชาสักถ้วยก่อน น้องสามกับน้องสาวกำลังทำอาหารเช้าให้ท่านอยู่”
“อะไรนะ?” มู่หรูกงกงตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม “องค์หญิงกับองค์ชายสามกำลังทำอาหารเช้าอยู่? จะให้ทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?”
องค์หญิงผู้บอบบางน่าทะนุถนอมของเขา จะให้ไปอยู่ในสถานที่อย่างห้องครัวได้อย่างไรกัน?
เขารีบสวมรองเท้าทันที ทำท่าจะออกไปข้างนอก แต่ซาลาเปาคว้าตัวเขาไว้ “กงกง มาล้างหน้าก่อนสิ”
หลังจากที่ทังหยวนวางถ้วยชาลงแล้ว ก็ถอดเสื้อนอกของเขาออก ตั้งใจจะช่วยเขาสวมใหม่ให้ดี ๆ
“ไม่ต้อง ๆ ข้าน้อยทำเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“กงกง วันนี้ท่านไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พวกเราจะรับใช้ท่านเอง” ซาลาเปาพูดด้วยรอยยิ้ม
“นรกกจะกินหัวข้าน้อยแล้ว จะให้องค์ชายมารับใช้ข้าน้อยได้อย่างไรกัน?” มู่หรูกงกงตกใจแทบตายแล้ว รีบก้าวถอยหลัง ดวงตากลอกไปมาประหนึ่งจะหลุดจากเบ้าด้วยความสยดสยองให้ได้แล้ว
“กงกง!” ซาลาเปาวางของลง เดินเข้าไปจับมือเขา แล้วยื่นมือไปลูบที่เส้นผมหงอกขาวของมู่หรูกงกง มองดูรอยยับย่นที่มุมคิ้ว ซาลาเปาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่ากงกงแก่มากแล้ว คอยปรนนิบัติรับใช้พวกเขามานานหลายปีขนาดนี้ แต่พวกเขากลับไม่เคยพูดขอบคุณเลยสักคำ “นั่งลงเถอะ วันนี้ให้พวกเรารับใช้ท่าน ท่านก็รู้ใช่หรือไม่ ว่าพวกเราไม่เคยถือว่าท่านเป็นบ่าวรับใช้ในวัง พวกเรานับถือท่านเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส ท่านก็ช่วยตอบรับความรู้สึกที่อยากตอบแทนบุญคุณจากพวกเราสักครั้งเถอะนะ ”
มู่หรูกงกงมองดูองค์ชายใหญ่ ในดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ต่อให้สั่งให้เขาไปตาย เขาก็เต็มใจไปตายเดี๋ยวนี้ได้เลยจริงๆ
“แต่… จะมีเจ้านายที่ไหนมาทำหน้าที่ปรนนิบัติคนรับใช้กันล่ะ? นี่มันผิดธรรมเนียมปฎิบัติ ..…” มู่หรูกงกงรู้สึกซาบซึ้งก็จริง แต่ในใจก็เอาแต่รู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้อง
“ไม่มีเจ้านาย ไม่มีคนรับใช้ ท่านคือกงกงของพวกเราต่างหาก” ซาลาเปาพาเขาไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลงโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาคัดค้าน หยิบหวีขึ้นมาเพื่อช่วยเขาหวีผม
ในกองทัพ ซาลาเปาไม่มีคนรับใช้ เขาจัดการทุกอย่างในชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง แค่เรื่องหวีผมแต่งตัว เขามีความคล่องแคล่วคุ้นชินมากทีเดียว
ในเรือนนอนของกงกง มีกระจกทองแดงบานเล็กมากอยู่บานหนึ่ง เงาของชายชราในกระจกบานนั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลซึมออกจากดวงตาทั้งสองข้าง ริมฝีปากขยับไปมาหลายครั้ง ก่อนจะปล่อยให้องค์ชายหวีผมให้เขาต่อไป
ตรงนี้หวีผม อีกมือก็ยื่นผ้าขนหนูร้อนให้เขาเช็ดใบหน้า สายตาของมู่หรูกงกงมองตามองค์ชายไป เห็นว่าเขากำลังเทน้ำเพื่อใช้บ้วนปาก จะปล่อยให้องค์ชายทำงานสกปรกนี้ได้อย่างไร ? พอทำท่าจะลุกขึ้นอีกครั้ง ก็ถูกซาลาเปาออกแรงกดไหล่ไว้หนัก ๆ “อย่าขยับ ยังหวีไม่เสร็จเลย”
มู่หรูกงกงถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งยินดีทั้งหวาดกลัวว่า “เดิมทีควรจะเป็นหน้าที่ของข้าน้อยที่รับใช้เจ้านาย ทำไมถึงได้กลับกันแบบนี้หนอ? นี่ไม่เท่ากับฝืนกฎของโลกใบนี้หรอกหรือ?”
“อะไรคือฝ่ากฎของโลก? ท่านดูแลพวกเรามาตลอด มาตอนนี้พวกเราก็แค่ตอบแทนท่าน ดูแลท่านก็ถือว่าเป็นกฎที่ถูกตามครรลองคลองธรรมแล้วนี่ ครอบครัวของเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมายอยู่แล้ว ” ซาลาเปาม้วนผมของเขาขึ้นเป็นมวย แล้วมัดให้เรียบร้อย ปลายนิ้วสัมผัสถูกส่วนคอของเขาสองสามครั้ง เพราะเมื่อครู่นิ้วไปสัมผัสถูก จึงพบว่าบริเวณหลังคอแข็งมาก รู้ได้ว่าเลือดลมที่คอเดินไม่ราบรื่น จึงใช้นิ้วนวดคลึงเป็นจังหวะไม่หนักไม่เบา มู่หรูกงกงรู้สึกสบายมาก ถึงกับหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
หลังจากล้างหน้าหวีผม แต่งตัวเรียบร้อย ก็เห็นเจ๋อหลานยกอาหารเช้าเข้ามา
เมื่อได้เห็นองค์หญิงผู้บอบบางยกของมาด้วยตัวเอง มู่หรูกงกงก็ปวดใจแทบตายแล้ว “ปล่อยให้เป็นแบบนี้จะได้อย่างไรกัน? เจ้าพวกตามืดบอดพวกนั้น ไม่กลัวว่าองค์หญิงจะหกล้มหกลุกบ้างเลยรึ? นับวันยิ่งไม่รู้กฎรู้ระเบียบขึ้นทุกทีแล้ว!”
เจ๋อหลานวางอาหารเช้าลงบนโต๊ะ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “กงกง ก็แค่ยกอาหารเช้าเข้ามาเอง ทำไมจะหกล้มเสียแล้วล่ะ? ตอนที่ข้าอยู่ที่เมืองโร่ตู ข้ายังตักน้ำแบกน้ำเองเลยด้วยนะ”
ดวงตาของมู่หรูกงกงเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อขึ้นมาทันที “องค์หญิงผู้น่าสงสารของข้า เหตุใดข้างกายท่านถึงไม่มีข้ารับใช้เลยแม้แต่คนเดียว ไยฝ่าบาทถึงได้โหดร้ายเหลือเกิน ปล่อยให้องค์หญิงไปตกระกำลำบากในที่ที่ไกลแสนไกลเช่นนั้น”
“อย่าพูดอะไรมากมายขนาดนั้นเลย มาลองชิมเกี๊ยวที่ข้าทำดูสิ ข้าห่อเองกับมือเชียวนะ เป็นไส้กุ้งกับเนื้อสับ” ที่ข้างแก้มของเจ๋อหลานเหมือนจะเปื้อนคราบแป้งเป็นดวง ๆ ยกยิ้มละไม ตักเกี๊ยวใส่ชามแบ่งเล็ก ๆ ด้วยมือตัวเอง แล้วยกไปให้มู่หรูกงกง “ลองชิมดูเร็วเข้า ระวังจะลวกปากล่ะ”
มู่หรูกงกงเห็นว่ามีควันสีขาวลอยกรุ่นอยู่เหนือชาม ก็กลัวว่าจะร้อนจนลวกมืออันบอบบางขององค์หญิง จึงรีบรับชามมา ภายใต้การจ้องมองของดวงตาที่สุกใสราวผลองุ่นดำขลับขององค์หญิง เขารีบตักเกี๊ยวขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วกินเข้าไปเต็มปากเต็มคำ พลันรู้สึกว่าในปากมีกลิ่นหอม รับรู้ถึงรสชาติที่สดใหม่จนน้ำลายสอ
เขาตื่นเต้นมากจนแทบจะร้องไห้ “ข้าน้อยไม่เคยกินเกี๊ยวที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ไม่เพียงแต่เกี๊ยวเท่านั้น แต่ไม่ว่าอาหารจานไหนก็เทียบไม่ได้กับอาหารจานนี้”
“จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้ท่านทุกวันเลย” เจ๋อหลานพูดอย่างมีความสุข
มู่หรูกงกงตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ “อย่างนั้นไม่ได้ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”